รัฐฯจีนกำหนดแนวใหม่ ให้ BYD ติดตั้งระบบขับขี่อัจฉริยะ! “เพิ่มฟีเจอร์ ไม่เพิ่มราคา” และไม่ลดราคา

สรุปข่าวอุตสาหกรรมยานยนต์ประจำสัปดาห์: BYD เปิดตัว “Smart Driving for All” และตั้งเป้าปี 2025 เป็นจุดเริ่มต้นของยุคขับขี่อัจฉริยะ
1. การแข่งขันใหม่ของตลาดรถยนต์: “ระบบขับขี่อัจฉริยะ”
BYD เปิดตัวแคมเปญ “Smart Driving for All” ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2024 โดยนำเทคโนโลยีขับขี่อัจฉริยะลงมาสู่รถยนต์ที่มีราคาเริ่มต้นต่ำถึง 100,000 หยวน (หรือประมาณ 464,000 บาท) ซึ่งถือเป็นการทำให้ระบบขับขี่อัจฉริยะเป็นที่แพร่หลายสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ปี 2025 ถูกมองว่าเป็นปีแห่งการเปลี่ยนผ่านของตลาดรถยนต์อัจฉริยะ
- หลังการเปิดตัวของ BYD วันรุ่งขึ้น Huawei ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า “แค่ใช้ได้” กับ “ใช้ดีและปลอดภัย” ไม่เหมือนกัน ซึ่งบ่งบอกถึงการแข่งขันด้านคุณภาพของระบบขับขี่อัจฉริยะในตลาด
- คาดว่าปี 2025 ตลาดรถยนต์จีนจะถูกขับเคลื่อนโดยการแข่งขันด้าน เทคโนโลยีขับขี่อัจฉริยะ มากขึ้น ไม่ใช่แค่การลดราคา
2. ภาครัฐกำหนดแนวทางใหม่ ห้าม BYD แข่งขันด้วยการลดราคาหนัก
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของจีนได้ให้คำแนะนำแก่ BYD ว่า ห้ามใช้กลยุทธ์ลดราคาหนัก ในปี 2025 อีกต่อไป และต้องเปลี่ยนเป็นกลยุทธ์ “เพิ่มฟีเจอร์แต่ไม่เพิ่มราคา” ซึ่งเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของสงครามราคาในตลาดรถยนต์จีน
- BYD เคยใช้กลยุทธ์ลดราคาในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเพื่อแย่งส่วนแบ่งตลาด
- การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้บริษัทรถยนต์รายอื่นๆ ต้องปรับกลยุทธ์ตาม
3. BYD ไม่ใช่รายแรกที่ผลักดันขับขี่อัจฉริยะในรถราคาประหยัด
แม้ว่า BYD จะเป็นผู้นำในการลดระดับราคาของระบบขับขี่อัจฉริยะ แต่จริงๆ แล้ว GAC Aion และ XPeng ได้เริ่มพัฒนาระบบขับขี่อัจฉริยะในรถยนต์ราคา 150,000 หยวน (หรือประมาณ 697,000 บาท) มาตั้งแต่ปลายปี 2024 แล้ว
- ปัจจุบันยังไม่มีนิยามที่แน่นอนว่า “ระบบขับขี่อัจฉริยะระดับสูง” คืออะไร แต่รถยนต์ของ GAC Aion และ XPeng ที่เรียกว่ามีระบบนี้จะต้องรองรับฟังก์ชันขับขี่ในเมือง (City NOA – Navigate on Autopilot)
- Huawei ก็เคยใช้กลยุทธ์คล้ายกัน โดยแบ่งระบบเป็นเวอร์ชัน “พื้นฐาน” และ “ขั้นสูง” ซึ่งรุ่นพื้นฐานไม่มี LiDAR และไม่รองรับ City NOA
4. ตลาดจีนมีโอกาสเติบโตสูงในกลุ่มรถยนต์ขับขี่อัจฉริยะ
รถยนต์ที่มีราคาต่ำกว่า 200,000 หยวน ( หรือประมาณ 929,000 บาท) คิดเป็น 70% ของตลาดจีน ซึ่งหมายความว่าการผลักดันขับขี่อัจฉริยะไปยังรถยนต์ในกลุ่มนี้มีโอกาสเติบโตสูงมาก
- เทคโนโลยี “Tian Shen Zhi Yan C” (天神之眼C) ของ BYD ช่วยให้รถยนต์ราคาต่ำกว่า 200,000 หยวน รองรับระบบขับขี่บนทางด่วน (Highway NOA) ได้ทั้งหมด
- บริษัทวิเคราะห์คาดว่า ยอดขายรถยนต์ที่มีระบบขับขี่อัจฉริยะในช่วงราคา 100,000-200,000 หยวนจะ เติบโตจาก 360,000 คันในปี 2024 เป็น 4.1 ล้านคันในปี 2027 (อัตราเติบโตต่อปี 125%)
5. 80% ของการใช้งานระบบขับขี่อัจฉริยะมาจากทางด่วนและระบบจอดรถ
BYD เปิดเผยข้อมูลว่า มากกว่า 80% ของการใช้งานจริงของระบบขับขี่อัจฉริยะ มาจาก
- Highway NOA (ขับขี่อัตโนมัติบนทางด่วน)
- ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ (Smart Parking)
ทั้งสองฟังก์ชันนี้กลายเป็น จุดขายหลัก ของระบบขับขี่อัจฉริยะในตลาดรถยนต์จีน
6. ไม่ใช่แค่ BYD แต่ผู้ผลิตรายอื่นก็เดินหน้ากลยุทธ์ “ขับขี่อัจฉริยะราคาประหยัด”
Deepal (Shenlan) แบรนด์ย่อยของ Chang’an ประกาศแนวคิด “Smart Driving for All” ก่อน BYD 1 วัน โดยรถรุ่นเริ่มต้นของ Deepal จะมาพร้อมกับระบบขับขี่อัจฉริยะ Highway NOA
- Deepal เป็นแบรนด์ภายใต้ Chang’an Automobile
- ครอบคลุมกลุ่มรถยนต์ราคา 100,000 – 200,000 หยวน เช่นเดียวกับ BYD
7. เทคโนโลยีขับขี่อัจฉริยะพัฒนาเร็วขึ้นจาก ต้นทุนฮาร์ดแวร์ที่ลดลง และ การพัฒนา AI Chip ของจีน
หนึ่งในปัจจัยที่ช่วยให้ระบบขับขี่อัจฉริยะราคาถูกลง คือ ต้นทุนฮาร์ดแวร์ที่ลดลงอย่างรวดเร็ว
- ปัจจุบัน ต้นทุนของระบบขับขี่อัจฉริยะ City NOA ลดลงเหลือเพียง 10,000 หยวน ( หรือ 46,000 บาท) และคาดว่าจะแตะ 5,000 หยวน ( หรือ 23,000 บาท) ภายในปลายปี 2025
- ค่ายรถจีนอย่าง NIO, XPeng และ Geely กำลังเร่งพัฒนา AI Chip ของตนเองเพื่อลดการพึ่งพาซัพพลายเออร์ต่างประเทศ เช่น
- NIO พัฒนา “Shenji NX9031”
- XPeng พัฒนา “Turing AI Chip”
การลดต้นทุนนี้จะช่วยให้รถยนต์ราคา 150,000 หยวนขึ้นไป หรือ 697,000 บาท สามารถมีระบบ City NOA เป็นฟีเจอร์มาตรฐานได้
8. การยอมรับระบบขับขี่อัจฉริยะยังมีข้อจำกัด
แม้ว่าเทคโนโลยีขับขี่อัจฉริยะจะก้าวหน้า แต่ อัตราการใช้งานยังไม่สูงมากนัก โดยเฉพาะในรถยนต์ที่มีราคาต่ำกว่า 250,000 หยวน (~1.25 ล้านบาท)
- ปัจจุบัน รถยนต์ช่วงราคา 200,000 – 250,000 หยวนมีอัตราการติดตั้ง NOA เพียง 24.7%
- แบรนด์ที่เป็นผู้นำด้าน NOA ได้แก่ Li Auto, NIO, Avatr และ Jiyue ซึ่งติดตั้งระบบนี้ 100% ในรถยนต์ของตนเอง
- แม้ผู้บริโภคจีนจะสนใจ แต่ความเต็มใจในการจ่ายเงินเพิ่มเพื่อระบบขับขี่อัจฉริยะยังคงลดลง (ข้อมูลจาก McKinsey China 2024)
BYD ท้าชนตลาด! ระบบสมาร์ทไดรฟ์ในรถราคาเริ่ม 324,000 บาท ในจีน ติดตั้งใน 21 รุ่นย่อยพิ้นฐาน
เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา BYD ได้เปิดตัวรถยนต์ใหม่จำนวน 21 รุ่นที่มาพร้อมกับระบบขับขี่อัจฉริยะ “Eye of God” (ตานเซินจือเยี่ยน) โดยราคารถอยู่ในช่วง 69,800 – 249,800 หยวน (ประมาณ 324,000 – 1,161,000 บาท) จุดเด่นสำคัญของการเปิดตัวครั้งนี้คือ รถรุ่นใหม่เหล่านี้จะสามารถใช้งานระบบขับขี่อัตโนมัติบนทางหลวงและถนนความเร็วสูงได้ นอกจากนี้ BYD ยังขยายขอบเขตของระบบขับขี่อัจฉริยะให้ครอบคลุมรถหลายรุ่น รวมถึงรถระดับเริ่มต้นก็สามารถใช้งานระบบขับขี่อัตโนมัติได้เช่นกัน
รุ่นที่ได้รับการอัปเกรดระบบขับขี่อัจฉริยะ
Eye of God C (DiPilot 100) มีในรุ่น:
Qin PLUS DM-i, Qin PLUS EV, Qin L DM-i, Han EV, Han DM-i, Yuan UP, Song L DM-i, Song L EV, Song Pro DM-i, Tang DM-i, Tang EV, Seagull, Dolphin, Seal 05 DM-i, Seal 06 DM-i, Seal 06 GT, Sea Lion 07 EV, Seal 07 DM-i, Song PLUS DM-i, Song PLUS EV
Eye of God B (DiPilot 300) มีในรุ่น:
Song L EV, Han DM-i, Han EV, Tang DM-i, Sea Lion 07 EV, Seal และรุ่นที่มีสเปกสูงกว่าของ BYD
ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ระบบขับขี่อัจฉริยะขั้นสูงจะกลายเป็นฟีเจอร์พื้นฐานที่จำเป็นเช่นเดียวกับเข็มขัดนิรภัยและถุงลมนิรภัย นายหวัง ฉวนฟู่ ประธานและซีอีโอของ BYD กล่าวในงานดังกล่าว
BYD เปลี่ยนกลยุทธ์ – จาก “สงครามราคา” สู่ “การแข่งขันด้านมูลค่า”
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา BYD ใช้กลยุทธ์ “สงครามราคา” (Price War) เพื่อแย่งส่วนแบ่งการตลาด อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าทางการจีนได้แนะนำให้ BYD ลดความรุนแรงของสงครามราคาลง เนื่องจากอาจทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในภาคอุตสาหกรรม
ปี 2025 BYD เปลี่ยนแนวทางสู่ “การแข่งขันด้านมูลค่า” (Value Competition) โดย เพิ่มเทคโนโลยีระบบขับขี่อัจฉริยะให้กับรถยนต์ในกลุ่มราคากลาง-ล่าง โดยไม่มีการปรับขึ้นราคา
“Eye of God” พลิกเกม – ขยายเทคโนโลยีขับขี่อัจฉริยะสู่ตลาดรถราคาประหยัด
เดิมที ระบบขับขี่อัจฉริยะระดับสูงมักถูกจำกัดไว้เฉพาะรถยนต์ระดับไฮเอนด์ (ราคา 250,000 หยวนขึ้นไป) แต่แนวโน้มอุตสาหกรรมเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เช่น
- Tesla เร่งขยายการใช้งาน FSD (Full Self-Driving)
- แบรนด์จีนอย่าง Xpeng ปรับใช้ระบบ XNGP ในรุ่น MONA M03 ที่มีราคาไม่ถึง 150,000 หยวน
- Changan ประกาศติดตั้ง LiDAR ในรถยนต์ราคาประมาณ 100,000 หยวน
BYD ตระหนักดีว่า การแข่งขันด้านเทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนไป หากแบรนด์อื่นสามารถติดตั้งระบบขับขี่อัจฉริยะในรถยนต์ระดับราคากลาง-ล่าง BYD อาจเสียเปรียบในระยะยาว
BYD ยกระดับระบบขับขี่อัจฉริยะ – จาก “ตามหลัง” สู่ “ผู้นำ”
ก่อนหน้านี้ BYD ถูกมองว่าล้าหลังด้านเทคโนโลยีขับขี่อัจฉริยะ เนื่องจาก ระบบช่วยขับขั้นพื้นฐาน (ACC, LKA, Auto Parking) เท่านั้นที่มีอยู่ในรุ่นมาตรฐาน
แต่ในปี 2025 หวัง ฉวนฝู ได้ เปลี่ยนแนวทางการเล่าเรื่องของ BYD จาก “การเน้นพัฒนา EV” เป็น “การมุ่งสู่ยุคอัจฉริยะ” พร้อมกับ ยืนยันว่าบริษัทพัฒนาระบบขับขี่อัจฉริยะมานาน แต่ไม่ได้เปิดเผยก่อนหน้านี้เนื่องจากต้องการให้เทคโนโลยีมีความพร้อมที่สุดก่อนเปิดตัว
ระบบขับขี่อัจฉริยะของ BYD
BYD ใช้ทั้ง ระบบขับขี่อัจฉริยะ Eye of God (พัฒนาโดย BYD เอง) และ Huawei QianKun ADS 3.0 (พัฒนาโดย Huawei) ซึ่งระบบ Huawei QianKun ได้เปิดตัวครั้งแรกใน Fang Cheng Bao Bao 8 โดยสามารถรองรับฟังก์ชันขับขี่อัจฉริยะหลายรูปแบบ เช่น
✅ ระบบช่วยควบคุมรถอัตโนมัติบนทางหลวง
✅ ระบบขับขี่อัจฉริยะในเขตเมือง (สามารถเปลี่ยนเลน, เลี่ยงสิ่งกีดขวาง, เลี้ยวเข้าหรือออกจากทางแยกอัตโนมัติ)
✅ ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ
✅ ระบบจอดรถระยะไกล (Valet Parking)
ระบบขับขี่อัจฉริยะ “God’s Eye”
BYD ตั้งชื่อระบบขับขี่อัจฉริยะของตนว่า “God’s Eye” ซึ่งมีโครงสร้างคล้ายกับระบบควบคุมตัวถัง DiSus และแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่
-
God’s Eye A – DiPilot 600
- ใช้ LiDAR 3 ตัว
- ติดตั้งในแบรนด์หรูระดับสูง Yangwang
-
God’s Eye B – DiPilot 300
- ใช้ LiDAR 1 ตัว
- ใช้กับแบรนด์ Denza และรถยนต์ BYD ระดับพรีเมียม
-
God’s Eye C – DiPilot 100
- ไม่มี LiDAR แต่ใช้ระบบกล้องแทน
- ใช้ในรุ่นราคาประหยัดของ BYD
- เทียบเท่ากับ DiPilot 100
- ใช้ชิป NVIDIA Orin N (84 TOPS)
- กล้อง 12 ตัว (รวมกล้องหน้าความละเอียด 8MP)
- เรดาร์ 5 ตัว + เซ็นเซอร์อัลตราโซนิก 12 ตัว
- รองรับระบบขับขี่อัตโนมัติบนทางหลวง (ช่วยเปลี่ยนเลน, หลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวาง, เข้าทางออกทางด่วนอัตโนมัติ)
- ฟีเจอร์อื่น ๆ เช่น จอดรถอัตโนมัติ, ระบบจอดรถระยะไกล (Valet Parking), ระบบจำจดเส้นทางขับขี่ในเมือง (MNOA) และการอัปเกรด OTA ภายในปีนี้
- ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยเพิ่มเติม เช่น เบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (AEB) ที่รองรับสูงสุด 100 กม./ชม. (และอาจเพิ่มเป็น 120-140 กม./ชม.ในอนาคต), ระบบเตือนการชน, ระบบเตือนจุดบอด และเตือนการเปิดประตู
21 รุ่นที่ได้รับอัปเดต Smart Driving Edition (ไม่มีการเพิ่มราคา)
BYD ได้อัปเกรดรถยนต์ 21 รุ่นให้เป็น Smart Driving Edition โดยไม่มีการปรับขึ้นราคา
ซีรีส์ Ocean (11 รุ่น)
รุ่น | ราคา (หยวน) | ราคา (บาท) |
---|---|---|
Seagull Smart Driving Edition | 69,800 – 85,800 | 337,000 – 414,000 |
Dolphin Smart Driving Edition | 99,800 – 125,800 | 482,000 – 608,000 |
Seal 05 DM-i Smart Driving Edition | 79,800 – 103,800 | 386,000 – 502,000 |
Seal 06 DM-i Smart Driving Edition | 99,800 – 139,800 | 482,000 – 675,000 |
Seal 06 GT Smart Driving Edition | 136,800 – 186,800 | 660,000 – 900,000 |
Seal 07 DM-i Smart Driving Edition | 139,800 – 195,800 | 675,000 – 945,000 |
Seal Smart Driving Edition | 175,800 – 239,800 | 848,000 – 1,156,000 |
Sealion 05 DM-i Smart Driving Edition | 102,800 – 132,800 | 496,000 – 640,000 |
Song Plus DM-i Smart Driving Edition | 135,800 – 175,800 | 655,000 – 848,000 |
Song Plus EV Smart Driving Edition | 149,800 – 175,800 | 722,000 – 848,000 |
Sealion 07 EV Smart Driving Edition | 189,800 – 239,800 | 916,000 – 1,156,000 |
ซีรีส์ Dynasty (10 รุ่น)
รุ่น | ราคา (หยวน) | ราคา (บาท) |
---|---|---|
Qin Plus DM-i (เจเนอเรชัน 2) | 79,800 – 103,800 | 386,000 – 502,000 |
Qin Plus EV (เจเนอเรชัน 2) | 109,800 – 129,800 | 531,000 – 628,000 |
Qin L DM-i Smart Driving Edition | 99,800 – 139,800 | 482,000 – 675,000 |
Song L DM-i Smart Driving Edition | 135,800 – 175,800 | 655,000 – 848,000 |
Song L EV Smart Driving Edition | 189,800 – 249,800 | 916,000 – 1,206,000 |
Song Pro DM-i Smart Driving Edition | 102,800 – 132,800 | 496,000 – 640,000 |
Yuan Up Smart Driving Edition | 99,800 – 119,800 | 482,000 – 578,000 |
Han DM-i Smart Driving Edition | 168,800 – 225,800 | 814,000 – 1,089,000 |
Han EV Smart Driving Edition | 179,800 – 235,800 | 868,000 – 1,136,000 |
Tang DM-i Smart Driving Edition | 179,800 – 219,800 | 868,000 – 1,072,000 |
BYD ทุ่ม 100,000 ล้านหยวน (ประมาณ 468,000 ล้านบาท) ในการพัฒนาระบบอัจฉริยะ
BYD ลงทุนอย่างหนักในการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์อัจฉริยะ โดยนายหยาง ตงเซิง รองประธานอาวุโสของกลุ่ม BYD เปิดเผยว่า บริษัทได้ทุ่มเทวิศวกรกว่า 5,000 คน และใช้เวลากว่า 7 ปี ในการพัฒนา
ปัจจุบัน รถยนต์ BYD กว่า 4.4 ล้านคัน ได้รับการติดตั้งระบบขับขี่อัจฉริยะระดับ L2 ขึ้นไป และมีการขับขี่สะสมมากกว่า 3.7 พันล้านกิโลเมตร ด้วยระบบช่วยขับ
ล่าสุด BYD ได้อัปเกรดแพลตฟอร์มไฮบริด DM และแพลตฟอร์มไฟฟ้า e เป็น Xuanji Architecture เพื่อรองรับระบบ God’s Eye C ซึ่งเป็นหัวใจหลักของกลยุทธ์ยานยนต์อัจฉริยะของบริษัท
การเปลี่ยนแปลงของตัวรถ
- รถยนต์ที่อัปเกรดระบบขับขี่อัจฉริยะในครั้งนี้ ส่วนใหญ่ ยังคงดีไซน์เดิม
- มีการเพิ่ม กล้องและเซ็นเซอร์สำหรับระบบขับขี่อัจฉริยะ
- ติดตั้ง ไฟ LED สีฟ้าที่กระจกมองข้าง เพื่อให้คันอื่นรู้ว่ารถใช้ระบบขับขี่อัจฉริยะ
- มี ปุ่มควบคุมระบบขับขี่อัจฉริยะบนพวงมาลัย
รถยนต์รุ่นใหม่ที่เปิดตัวเพิ่มเติม
นอกจากการอัปเกรดระบบขับขี่อัจฉริยะ BYD ยังเปิดตัว รถยนต์ใหม่บางรุ่น ได้แก่:
- Qin PLUS DM-i รุ่นใหม่ และ Seal 05 DM-i รุ่นใหม่ – ใช้เทคโนโลยี DM รุ่นที่ 5
- Sea Lion 05 DM-i – เปลี่ยนดีไซน์ด้านหน้าใหม่ ใช้กระจังหน้าแนวปิดแทนแบบเดิม
- Seagull – อัปเกรดกันชนหน้า, เพิ่มขนาดจอแสดงผล และเปลี่ยนเป็นเกียร์แบบหมุน
- Dolphin รุ่นใหม่ – อัปเกรดดีไซน์ภายนอกและขยายตัวถัง ยาวขึ้น 130 มม.
BYD ท้าชนตลาด! ระบบสมาร์ทไดรฟ์ในรถราคาเริ่ม 324,000 บาท ในจีน ติดตั้งใน 21 รุ่นย่อยพิ้นฐาน