Advertisement

Advertisement

Baidu แท็กซี่ ไร้คนขับ ให้บริการในปักกิ่ง ประเทศจีน ค่าบริการ 144 บาท

Baidu แท็กซี่ ไร้คนขับ ให้บริการในปักกิ่ง ประเทศจีน ค่าบริการ 144 บาท
Spread the love

Advertisement

Advertisement

ปักกิ่ง nikkei รายงาน ไป่ตู้ บริษัท เทคโนโลยีของจีน ได้ผ่านการทดสอบรถยนต์ไร้คนขับ และเตรียมเปิดตัวรถแท็กซี่ไร้คนขับ บนถนนสาธารณะในสุดสัปดาห์นี้

  • Baidu (ไป่ตู้) เป็นเสิร์ชเอนจินอันดับหนึ่งของประเทศจีน และเป็นเว็บไซต์ที่คนใช้มากที่สุดอันดับ 4 ของโลก ปัจจุบันไป่ตู้ ครองส่วนแบ่งทางการตลาดเสิร์ชเอนจินในประเทศจีนถึงร้อยละ 72% และมียอดทางการตลาดมากกว่า 50 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมทั้งลงทุนในธุรกิจหลากหลาย เช่น ยานยนต์ และ ยนตกรรมไร้คนขับ

เป็นครั้งแรกที่รถยนต์ไร้คนขับ จะได้วิ่งจริงๆ บนท้องถนนจริงๆ ในกรุงปักกิ่ง โดยไม่มีคนขับอยู่หลังพวงมาลัย

รถยนต์ไร้คนขับ ได้รับการตรวจสอบจากระยะไกล และจะมีผู้ช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉิน ยานพาหนะนำร่อง จะมาในรูปแบบ Taxi ให้บริการผู้โดยสาร สามารถเรียกผ่านแอพลิเคชั่น รถจะไม่มีการเคลื่อนไหวหากผู้โดยสารไม่คาดเข็มขัดนิรภัย

บริการ Apollo Go จะเริ่มให้บริการตั้งแต่วันอาทิตย์ ณ Shougang Park ชานเมืองปักกิ่งซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่จัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวปี 2022

ยนตกรรมไร้คนขับของจีน ก้าวสู่การขับเคลื่อนเชิงพาณิชย์ รวมทั้ง ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ตามนโยบายของรัฐบาลจีน

รถแท็กซี่จะรับและส่งผู้โดยสารที่ป้ายจอด 8 จุดครอบคลุมพื้นที่ 2.7 ตร.กม. รวมทั้งโรงแรมร้านกาแฟและที่จอดรถ และในปี 2022 หุ่นยนต์จะพร้อมให้บริการรถรับส่งสำหรับนักกีฬา เพื่อแสดงให้เห็นศักยภาพของระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ

บริการนี้มีรถยนต์เริ่มต้น 10 คันซึ่งได้รับการพัฒนาโดยใช้รถยนต์นั่งจาก หงฉี FAW โดยร่วมมือกับ Baidu เพื่อดึงดูดให้ประชาชนใช้บริการ 30 หยวน ประมาณ 144 บาท

Apollo เปิดตัวครั้งแรกในปี 2560 เป็นการทดสอบวิ่งบนท้องถนนจริงๆ และได้รับการปรับปรุง ร่วมทั้งการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน เครือข่ายรถยนต์ชั้นนำจากสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ยุโรป ตลอดจนผู้ผลิตชิป NXP Semiconductors และอื่น ๆ เป้าหมายคือการมียานยนต์ 1 ล้านคันที่ติดตั้งเทคโนโลยีอพอลโลใน 3-5 ปี

Baidu ยังร่วมมือกับ Zhejiang Geely Holding Group ในการสร้างและจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าที่มีเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติ ทั้งคู่ลงทุน 50 พันล้านหยวนในช่วง 5 ปีโดยมีแผนจะออกรถรุ่นใหม่ภายใน 3 ปี

Autopilot มี 5 ระดับ ได้แก่

  • ระดับ 1 จะมีระบบอัตโนมัติ ช่วยเหลือผู้ขับขี่ เช่น การบังคับเลี้ยวหรือการเร่งและรักษาคุมความเร็วคงที่ รวมทั้งระบบควบคุมความเร็วคงที่แบบปรับความเร็วอัตโนมัติ ซึ่งสามารถควบคุมยานพาหนะไว้ในระยะที่ปลอดภัยต่ออุบัตเหตุ ซึ่งคุณสมบัติ Level 1 ยังต้องการวิจารณญาณของมนุษย์คนขับ ตรวจสอบการใช้ฟังก์ชั่นช่วยขับขี่ร่วมด้วย
  • ระดับ 2 จะมีระบบ ADAS หรือ Advanced Driver Assistance Systems ซึ่งเป็นระบบบังคับเลี้ยวอัตโนมัติคู่กับระบบความคุมอัตรเร่งและปรับความเร็วให้ทำงานประสานกันผ่านกลไกการควบคุมที่ซับซ้อน… ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ทุกค่ายล้วนใส่เงินไปกับการวิจัยระบบ ADAS ต่อเนื่องมานาน ซึ่งระบบ ADAS ที่มีชื่อเสียงและสอบผ่านมาตรฐาน Level 2 รุ่นแรกๆ จนได้ทดสอบ
  • ระดับ 3 จะมีความสามารถในการตรวจจับสภาพแวดล้อม และสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดเช่น การเร่งแซงรถที่ช้า แต่ระบบก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากมนุษย์ แม้มนุษย์ไม่ต้องเหยียบคันเร่งถือพวงมาลัย… แต่ผู้ขับขี่จะต้องตื่นตัวและพร้อมที่จะเข้าควบคุมทันทีหากระบบผิดพลาด ซึ่งส่วนใหญ่ระบบจะออกแบบให้ตรวจสอบเงื่อนไขการทำงานอัตโนมัติตลอดเวลา และหาก Condition หรือเงื่อนไขการทำงานในระบบผิดพลาด… รถจะมีฟังก์ชั่นขอความช่วยเหลือจากมนุษย์ติดมาด้วย
  • ระดับ 4 ไม่ต้องมีมนุษย์คอยช่วยเหลือในยามเข้าตาจนเหมือน Level 3 อีกเลย แม้จะมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นทั้งในระบบและสภาพแวดล้อมภายนอก หรือแม้แต่เกิดขัดข้องขึ้น พาหนะ Level 4 ก็จะจัดการความผิดปกติและบกพร่องทั้งหลายได้เอง โดยพึ่งพาและปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ในฐานะผู้โดยสาร มากกว่าจะพึ่งพามนุษย์ในฐานะผู้ควบคุมปกป้องความผิดพลาด พาหนะ Level 4 สามารถทำงานในโหมดขับขี่ด้วยตนเอง หรือ Self-Driving Mode ได้อย่างสมบูรณ์
  • ระดับ 5 ไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆ จากมนุษย์อีก เพราะระบบจะทำงาน Dynamic Driving Task เต็มประสิทธิภาพ เทียบเท่าระดับเดียวกับหรือดีกว่ามนุษย์ที่มีทักษะการขับรถยอดเยี่ยมที่สุด… พาหนะ Level 5 จึงไม่มีแม้แต่พวงมาลัย แป้นเหยียบคันเร่งและแป้นเบรก ทำให้พาหนะ Level 5 เป็น Fully Autonomous Cars ซึ่งเป็นเป้าหมายความสำเร็จของการพัฒนายานพาหนะบนผิวพื้นยุคต่อไป… ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่า กฏหมายและโครงสร้างพื้นฐานของ Smart City

Advertisement

Advertisement

ใส่ความเห็น

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหาของหน้านี้ได้