TOYOTA , MAZDA , SUBARU กำลังให้ความสำคัญกับ ระบบขับขี่อัตโนมัติ
ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น กำลังเจอคู่แข่งสำคัญในสหรัฐฯ รวมถึงจีน จึงจำเป็นต้องเร่งการพัฒนาเทคโนโลยีอีกมาก โดยเฉพาะระบบการขับขี่แบบกึ่งอัตโนมัติ ในรถยนต์ทุกรุ่นตามกระแสหลัก
ตามรายงานจากนิกเคอิ เอเชีย มาสด้า โตโยต้า และซูบารุ จะเริ่มผสมผสานเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติระดับ 2 เข้ากับรถยนต์หลากหลายประเภท
ระบบการขับขี่อัตโนมัติ หรือ Autopilot แบ่งออกเป็น 5 ระดับ ตอนนี้สูงสุดของ L5 เทคโนโลยีอัตโนมัติไม่ต้องการการแทรกแซงของมนุษย์ และขับเคลื่อนด้วยตัวรถเอง
ในขณะที่ระดับที่สอง หรือ L2 ระบบจะอนุญาตให้ขับแบบแฮนด์ฟรีบนทางหลวง แต่ยังคงต้องมีคนขับหลังพวงมาลัยเพื่อรับผิดชอบ
Waymo ของอัลฟาเบทก็มีเทคโนโลยีระดับ 4 อยู่แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการวิจัยเพื่อปรับใช้ระดับ 5 เช่นกัน จนถึงตอนนี้ ความสามารถในการขับขี่ระดับ 4 ถูกจำกัดในญี่ปุ่น ทำให้การขับขี่ระดับ L2-3 จะได้รับความสนใจในปี 2022
สถาบันวิจัยยาโนะในโตเกียวอ้างว่าภายในปี 2573 รถยนต์ไร้คนขับ 62% ในญี่ปุ่นจะมีระดับ 2 เป็นเทคโนโลยีพื้นฐานที่ติดตั้งในรถยนต์ทุกรุ่น
ภายในปี พ.ศ. 2565 โตโยต้าจะติดตั้งเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับ 2 รุ่นเรือธงของรุ่น Crown ในขณะนี้ เทคโนโลยีนี้มีเฉพาะในรถซีดานระดับไฮเอนด์ของ Lexus และ Toyota Mirai FCEV ในอนาคตมีแผนจะเพิ่มเทคโนโลยีดังกล่าวให้กับ Corolla และ อื่นๆ
ภายในปี 2565 มาสด้าจะปฏิบัติตามข้อเสนอในการนำเทคโนโลยีขับขี่กึ่งอัตโนมัติระดับ L 2 หรือ 3 ใน SUV และซีดานขนาดกลาง
Subaru ได้ประกาศว่ารถยนต์ทุกคันที่จำหน่ายทั่วโลกจะมีเทคโนโลยีการขับขี่แบบแฮนด์ฟรีระดับ 2 ที่ความเร็วสูงสุด 50 กม./ชม.
ในขณะเดียวกันระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ L4 จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายการขับขี่ในญี่ปุ่น กฎระเบียบต่างๆ มีแนวโน้มที่จะผ่อนคลายลงก่อนที่จะเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นได้ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในระดับสูง
Autopilot มี 5 ระดับ ได้แก่
- ระดับ 1 จะมีระบบอัตโนมัติ ช่วยเหลือผู้ขับขี่ เช่น การบังคับเลี้ยวหรือการเร่งและรักษาคุมความเร็วคงที่ รวมทั้งระบบควบคุมความเร็วคงที่แบบปรับความเร็วอัตโนมัติ ซึ่งสามารถควบคุมยานพาหนะไว้ในระยะที่ปลอดภัยต่ออุบัตเหตุ ซึ่งคุณสมบัติ Level 1 ยังต้องการวิจารณญาณของมนุษย์คนขับ ตรวจสอบการใช้ฟังก์ชั่นช่วยขับขี่ร่วมด้วย
- ระดับ 2 จะมีระบบ ADAS หรือ Advanced Driver Assistance Systems ซึ่งเป็นระบบบังคับเลี้ยวอัตโนมัติคู่กับระบบความคุมอัตรเร่งและปรับความเร็วให้ทำงานประสานกันผ่านกลไกการควบคุมที่ซับซ้อน… ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ทุกค่ายล้วนใส่เงินไปกับการวิจัยระบบ ADAS ต่อเนื่องมานาน ซึ่งระบบ ADAS ที่มีชื่อเสียงและสอบผ่านมาตรฐาน Level 2 รุ่นแรกๆ จนได้ทดสอบ
- ระดับ 3 จะมีความสามารถในการตรวจจับสภาพแวดล้อม และสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดเช่น การเร่งแซงรถที่ช้า แต่ระบบก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากมนุษย์ แม้มนุษย์ไม่ต้องเหยียบคันเร่งถือพวงมาลัย… แต่ผู้ขับขี่จะต้องตื่นตัวและพร้อมที่จะเข้าควบคุมทันทีหากระบบผิดพลาด ซึ่งส่วนใหญ่ระบบจะออกแบบให้ตรวจสอบเงื่อนไขการทำงานอัตโนมัติตลอดเวลา และหาก Condition หรือเงื่อนไขการทำงานในระบบผิดพลาด… รถจะมีฟังก์ชั่นขอความช่วยเหลือจากมนุษย์ติดมาด้วย
- ระดับ 4 ไม่ต้องมีมนุษย์คอยช่วยเหลือในยามเข้าตาจนเหมือน Level 3 อีกเลย แม้จะมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นทั้งในระบบและสภาพแวดล้อมภายนอก หรือแม้แต่เกิดขัดข้องขึ้น พาหนะ Level 4 ก็จะจัดการความผิดปกติและบกพร่องทั้งหลายได้เอง โดยพึ่งพาและปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ในฐานะผู้โดยสาร มากกว่าจะพึ่งพามนุษย์ในฐานะผู้ควบคุมปกป้องความผิดพลาด พาหนะ Level 4 สามารถทำงานในโหมดขับขี่ด้วยตนเอง หรือ Self-Driving Mode ได้อย่างสมบูรณ์
- ระดับ 5 ไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆ จากมนุษย์อีก เพราะระบบจะทำงาน Dynamic Driving Task เต็มประสิทธิภาพ เทียบเท่าระดับเดียวกับหรือดีกว่ามนุษย์ที่มีทักษะการขับรถยอดเยี่ยมที่สุด… พาหนะ Level 5 จึงไม่มีแม้แต่พวงมาลัย แป้นเหยียบคันเร่งและแป้นเบรก ทำให้พาหนะ Level 5 เป็น Fully Autonomous Cars ซึ่งเป็นเป้าหมายความสำเร็จของการพัฒนายานพาหนะบนผิวพื้นยุคต่อไป… ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่า กฏหมายและโครงสร้างพื้นฐานของ Smart City