ครม. เห็นชอบแพ็กเกจ EV ส่วนลด 70,000 – 150,000 บาท
วันที่ 15 ก.พ.2565 ที่ประชุมครม. เห็นชอบแพ็กเกจ EV สนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ครอบคลุมทั้งการลดอากรขาเข้า ลดภาษีสรรพสามิต และการให้เงินอุดหนุน มีผลบังคับใช้ พฤษภาคม 2565
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่า ที่ประชุมครม.เห็นชอบมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า หรือ แพ็กเกจรถยนต์อีวี EV ประเภทรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และรถกระบะ ตามมติของคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ โดยรัฐบาลกำหนดตามเป้าหมายในการผลิตรถอีวีให้ได้ 30% ของการผลิตรถยนต์ในประเทศไทยภายในปี 2573
แหล่งข่าว ระบุว่า เบื้องต้นตามแพ็กเกจที่จะออกมา มีทั้งการลดอากรขาเข้า ลดภาษีสรรพสามิต และให้เงินอุดหนุน โดยมีข้อผูกผันในการผลิต และการใช้ชิ้นส่วนสำคัญในประเทศ ตามมติของคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ที่ได้เห็นชอบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
มาตรการดังกล่าว กำหนด 3 รูปแบบได้แก่
- การส่งเสริมให้เกิดการใช้รถยนต์ไฟฟ้าชนิดใช้แบตเตอรี่หรือ BEV ภายในประเทศ
- การส่งเสริมการผลิต BEV เพื่อชดเชยการนำเข้า
- การผลิตและการใช้ชิ้นส่วน BEV สำคัญภายในประเทศ
สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ต้องผลิตเพื่อชดเชยการนำเข้าในปี 2565-2566 โดยสามารถผลิตรถรุ่นใดก็ได้
- ลดอากรนำเข้าสูงสุด 40 % ระหว่าง 2565 – 2566
- ลดภาษีสรรพสามิต จาก 8% เหลือ 2% ระหว่าง 2565 – 2568
- เงินหนุนระหว่างปี 2565 – 2568
- แบตเตอรี่ต่ำกว่า 30kWh ได้เงินหนุน 70,000 บาท
- แบตเตอรี่สูงกว่า 30kWh ได้เงินหนุน 150,000 บาท
สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าราคาเกิน 2 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 7 ล้านบาท
- ลดอากรนำเข้าสูงสุด 20 % ระหว่าง 2565 – 2566
- ลดภาษีสรรพสามิต จาก 8% เหลือ 2% ระหว่าง 2565 – 2568
ต้องเป็นผู้ประกอบอุตสาหกรรมภายในประเทศ, ผลิตรถยนต์ชดเชยในปี 2567 เท่ากับจำนวนที่นำเข้า CBU ในปี 2565-2566 หากจำเป็นต้องขยายเวลา การผลิตชดเชยได้ถึง 2568 และจะต้องผลิตในอัตราส่วน 1 ต่อ 1.5 เท่า (นำเข้า 1 คัน ผลิต 1.5 คัน)
รถจักรยานยนต์
- ราคาขายปลีกไม่เกิน 150,000 บาท รับเงินหนุน 18,000 บาทต่อคันทั้ง CKD และ CBU (ปี 2565-2568)
ต้องเป็นผู้ประกอบอุตสาหกรรมภายในประเทศ, ผลิตรถยนต์ชดเชยในปี 2567 เท่ากับจำนวนที่นำเข้า CBU ในปี 2565 – 2566 หากจำเป็นต้องขยายเวลาการผลิตชดเชยได้ถึงปี 2568 โดยจะต้องผลิตในอัตราส่วน 1 ต่อ 1.5 และต้องเลือกผลิตรถยนต์จากรถรุ่นใดรุ่นหนึ่งที่ได้นำเข้ามาในช่วงปี 2565 – 2566 เท่านั้น
รถกระบะ ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท
- ลดภาษีสรรพสามิตเป็น 0% ในปี 2565-2568
- เงินหนุน 150,000 บาท ปี 2565 – 2568 สำหรับกระบะ BEV แบตเตอรี่ขนาดตั้งแต่ 30 กิโลวัตต์ชั่วโมงขึ้นไป (เฉพาะรถยนต์กระบะที่ผลิตในประเทศ เท่านั้น)