ส่งต่อความหวัง Lotus Eletre SUV ไฟฟ้า 600 กม./ชาร์จ จะทำให้แบรนด์แข็งแกร่งมากขึ้น
Lotus Eletre SUV ไฟฟ้าคันใหม่ของแบรนด์ เป็นการเริ่มต้นครั้งสำคัญของแบรนด์รถยนต์ย่อยของ Geely
Lotus มีจุดเด่น และ ชื่อเสียงในการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ต แม้ว่าครอสโอเวอร์จะดูไม่เหมาะกับแบรนด์นี้ แต่โลตัสต้องอยู่ต่อไป
พวกเขาให้ความสำคัญกับ Eletre อย่างมาก ซึ่งมันจะส่งต่อความสำเร็จให้ Lotus หาก Eletre ประสบความสำเร็จ Lotus จะมีเงินสดไปลงทุนในรถสปอร์ตรุ่นใหม่ Matt Windle หัวหน้าของ Lotus บอกกับ Top Gear ว่าบริษัทต้องทำเงิน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยทำได้ดีมาก่อน
ผลิตภัณฑ์อย่าง Lotus Eletre SUV ไฟฟ้า จะสามารถตอบโจทย์ได้กว้างขวาง และ ขยายฐานลูกค้าได้อีกมากมาย รวมทั้งดึงดูดเงินลงทุนเข้ามาเพื่อช่วยให้แบรนด์แข็งแกร่ง
โลตัสยังมีความหวังอย่างมากสำหรับโมเดลนี้ โดยบริษัทคาดการณ์ว่ายอดขายของ Eletre จะไปถึง หลักหมื่นคัน เมื่อมีการผลิตอย่างสมบูรณ์ สำหรับปี 2564 บริษัทขายรถยนต์มากกว่า 2,000 คันทั้งหมดคือรถสปอร์ต
Lotus Eletre (อีเลททร้า) Hyper-SUV ไฟฟ้า เปิดตัวอย่างเป็นทางการ แม้ว่ายังไม่ระบุราคา แต่คาดว่าจะมีราคาเริ่มตั้งแต่ 100,000 ปอนด์ หรือประมาณ 4.39 ล้านบาท จำหน่ายใน สหราชอาณาจักร จีน และยุโรปในปี 2566
Lotus Eletre พัฒนาภายใต้แพลตฟอร์ม Pure-EV ใหม่ที่สามารถรองรับการขยายขนาดได้ ทำให้แบรนด์ Lotus ภายใต้ Geely สามารถทำ SUV ไฟฟ้ารุ่นอื่นๆ ในราคาต่ำกว่า
Lotus Eletre SUV ไฟฟ้า เน้นกลุ่มรถครอบครัว ในราคาจับต้องได้ ซึ่งมันมีราคาต่ำกว่ารถสปอร์ตมาก เพราะโลตัส มีความจำเป็นต้องขยายผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานได้จริง และเติบโตได้มากกว่า
Eletre เป็นภาษาฮังการีที่มีความหมายว่า “มีชีวิตขึ้นมา” แสดงถึงการเกิดใหม่ของโลตัส ภายใต้ Geely ตั้งความหวังไว้สูง Lotus Eletre จะสร้างขึ้นในประเทศจีนที่โรงงานแห่งใหม่ในเมืองหวู่ฮั่น Wuhan Smart Factory และ จะเข้าสู่การผลิตอย่างเป็นทางการในช่วงครึ่งหลังของปี 2022
ขนาดตัวถัง
- ยาว 5103 มม.
- กว้าง 2019 มม.
- สูง 1630 มม.
- ฐานล้อ 3019 มม.
Lotus Eletre SUV หากเทียบกับ Porsche Cayenne ยาวกว่า 179 มม. แต่ต่ำกว่า Porsche Cayenne 66 มม. วัดจากกันชนหน้าถึงกันชนหลัง 5,103 มม. ฐานล้อ 3,019 มม. และ ความสูง 1,630 มม. ตัวเลขคราวๆเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า Eletre นั้นใหญ่พอตัว และ มันเป็นครอสโอเวอร์แนวสปอร์ตที่ท้าชน Ferrari Purosangue ได้เลย
Eletre เน้นใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ และ อลูมิเนียมนั้นแตกต่างจาก SUV ระดับหรูที่ขับเคลื่อนด้วย V8 ทั่วไป แต่มีการใช้เฉดสีเหลือง อันเป็นเอกลักษณ์ของ Lamborghini Urus ที่มีราคาแพงกว่ามาใช้
Lotus Eletre ติดตั้งกระจกมองข้างแบบใช้กล้อง ระบบกันสะเทือนแบบถุงลมแบบมาตรฐาน และตัวเลือกบังคับเลี้ยวที่เพลาหลัง เหล็กกันโคลงแบบ Active และ เฟืองท้ายแบบ Active
สำหรับแพลตฟอร์มไฟฟ้าใหม่ล่าสุดของ Lotus รองรับการชาร์จสูง 800V (Electric Premium Architecture) ซึ่งรับประกันชาร์จเต็มภายใน 18 นาที (Lotus ยังไม่ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับการชาร์จ)
ระบบขับเคลื่อนแบบมอเตอร์คู่ แต่อ้างว่าแบตเตอรี่จะมีขนาดใหญ่กว่า 100 kWh ให้กำลังมากถึง 600 กม. ชาร์จเร็ว 350kW เพียง 20 นาที วิ่งได้ 400 กม. WLTP และ 5 นาที วิ่งได้ 120 กม. WLTP
ตัวเลขกำลังยังคลุมเครือเล็กน้อย ณ จุดนี้ แต่ Lotus กล่าวว่า Eletre จะเริ่มต้นด้วย 592 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม. / ชม. ภายใน 2.95 วินาที 0-200 กม./ชม. ภายใน 12 วินาที ความเร็วสูงสุด 260 กม./ชม. สามารถวิ่งได้ 600 กม./ชาร์จ WLTP ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ AWD
นอกจากนี้ยังมีตัวเลือกสมรรถนะสูงสุด ให้กำลังมากกว่า 700 แรงม้า (PS) แต่ยังไม่สามารถระบุข้อมูลอื่นๆได้
ด้วยขนาดมอเตอร์ไฟฟ้า และ แบตเตอรี่ที่ใหญ่ ทำให้ Lotus Eletre มีน้ำหนัก 2,268 กก. แต่เราคาดว่ามันจะเบากว่าค่าเฉลี่ย
Lotus Eletre ภายนอกเน้นการออกแบบสปอร์ตคล้ายกับ Emir แต่เป็นรูปทรงครอสโอเวอร์ ไฟหน้าแบบแยกส่วน ไฟวิ่งอยู่ที่ขอบด้านหน้าของฝากระโปรงหน้า แผงหน้าแบบปิดทึบ กระจังหน้าสามารถระบายความร้อนขอมอเตอร์ แบตเตอรี่ และ เบรกได้อย่างดี ติดตั้งเซ็นเซอร์ Lidar 4 ตัวบนหลังคามี 2 อันหนึ่งที่กระจกหน้า อีกอันอยู่เหนือกระจกหลัง
ล้ออัลลอย 5 ก้านขนาด 23 นิ้ว คาลิปเปอร์ 10 ลูกสูบขนาดใหญ่ มือจับประตูแบบซ่อน สปอยเลอร์หลังสร้างแรงกด 116 กก. ไฟท้ายแบบ LED ทะลุผ่าน
Lotus อ้างว่า Eletre สามารถ “ขับขี่อัตโนมัติแบบ end-to-end” รองรับการอัปเดตแบบ over-the-air ภายในตกแต่งหรูหรามาก พวงมาลัยทรงกลมทันสมัย เน้นใช้วัสดุสิ่งที่ทำจากเส้นใยรีไซเคิล ตรงกลางมีหน้าจอแนวนอน OLED ขนาด 15.1 นิ้ว จอสามารถแสดงผลได้ถึง 1 พันล้านสี ระบบการมองเห็น AR HUD ขนาด 29 นิ้ว Eletre มีพื้นที่เก็บสัมภาระท้าย 400 ลิตร บวกห้องเก็บสัมภาระท้ายรถอีก 77 ลิตร และไม่มีประตูแบบปีกนก แถวหลังมีหน้าจอแบบปรับได้
ระบบเสียงจากแบรนด์ KEF KEF Premium เป็นระบบ 1380 วัตต์พร้อมลำโพง 15 ตัวที่มี Uni-QTM และเทคโนโลยีเสียงเซอร์ราวด์ ผู้ใช้ยังสามารถเลือกระบบอ้างอิง KEF ที่อัปเกรดแล้วซึ่งมีกำลัง 2160 วัตต์ รวมถึงลำโพง 23 ตัวและการกำหนดค่าทางเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น เสียงเซอร์ราวด์ Uni-Q และระบบ 3D
- KEF Reference ยังใช้เทคโนโลยี Uni-CoreTM กำหนดค่าลำโพง และ ซับวูฟเฟอร์ ตัวขับเสียงแบบ Dual-Cancelling สองตัวถูกจัดเรียงเป็นวงกลมศูนย์กลาง เน้นความสวยงาม และ ระดับเสียงที่พรีเมียม
ติดตั้งเซ็นเซอร์ช่วยในการขับขี่กว่า 34 ตัว นอกเหนือจากฝาปิด 4 อันที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว ยังประกอบด้วยกล้อง SMP 7 ตัว, เรดาร์คลื่น 6 มม., กล้องมองภาพรอบทิศทาง 2MP 4 ตัว, เรดาร์อัลตราโซนิก 12 ตัว ซึ่งประมวลผลผ่านชิป 8155 จำนวน 2 ตัว ได้พลังประมวลผลระดับ 2.2 GFLOPS สามารถสร้างภาพเรนเดอร์ ภาพ 3D และ อื่นๆได้อย่างรวดเร็ว
ในแง่ความปลอดภัย ติดตั้งอุปกรณ์พื้นฐานอย่าง
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบปรับได้ (ACC)
- ระบบป้องกันการชนด้านหน้า (CMSF)
- ระบบจดจำป้ายจราจร (TSI)
- ระบบเตือนการเปิดประตู (DOW)
- ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง ( RCTA)
- ระบบช่วยเตือนอันตรายด้านหน้า (FCTA)
- ระบบช่วยเปลี่ยนเลน (LCA)
- ระบบช่วยรักษาทางเดินรถ (LKA+)
- ระบบเบรกฉุกเฉินขณะจอด (PEB)
- ระบบป้องกันการชนด้านหลัง (CMSR) )
- เทคโนโลยีฉุกเฉิน เช่น การเรียกกู้ภัย (E-Call)