MOGO BUS EV ไฟฟ้าไร้คนขับระดับ L4 เริ่มผลิตในจีน
Mushroom Car Link และ Xiamen Jinlong Wagon ในประเทศจีนร่วมกันเปิดสายการผลิต MOGO BUS รถบัสขับขี่อัตโนมัติไร้พวงมาลัย ในสายการผลิต เซียะเหมิน มณฑลฝูเจี้ยน ประเทศจีน
Mushroom Car Link ได้บรรลุความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ Sichuan Tianfu New District, Jiangsu Wuxi และ Beijing Tongzhou โดยมีมูลค่าสัญญารวม 6.6 พันล้านหยวน เพื่อสนับสนุนการผลิตรถยนต์สาธารณะขับขี่อัตโนมัติ ในระดับอุสาหกรรม หรือ ผลิตในจำนวนมากๆ
MOGO BUS คือมินิบัสไฟฟ้า ที่ติดตั้งเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติระดับ L4 โดยไม่ต้องพึ่งพาคนขับ ทำให้รถยนต์รุ่นนี้ไม่จำเป็นต้องมีพวงมาลัย สำหรับ MINI Bus EV แบ่งเป็น 2 รุ่นได้แก่ MOGO BUS M1 (รถบัสขับเคลื่อนอัตโนมัติ) และ MOGO BUS M2 (รถบัสขับเคลื่อนอัตโนมัติ)
ทั้งสองรุ่นได้รับการติดตั้ง ซอฟต์แวร์ Full stack และ โซลูซันฮาร์ดแวร์ที่ Mushroom Car Alliance พัฒนาขึ้นเอง ซึ่งจะคำนวณ ประมวลผลสภาพการจราจรที่ซับซ้อนในเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถตอบสนองการขับขี่อัตโนมัติระดับ L4
Mushroom Car Alliance มีความต้องการที่จะให้ MOGO BUS EV เป็นรถโดยสารสาธารณะแบบอิสระ ในเมืองต่างๆ ในประเทศจีน เพื่ออนาคตการเดินทางในเมืองใหญ่ๆ รวมทั้งบริษัทกำลังสร้าง รถยนต์อัตโนมัติต่างๆ เช่น รถสุขาภิบาลที่ขับเคลื่อนอัตโนมัติ , รถสายตรวจ , รถขนส่ง , รถแท็็กซี่อัตโนมัติ เป็นต้น
ปัจจุบัน โครงการ Mushroom Car Connect ได้ดำเนินการในปักกิ่ง เจียงซู หูหนาน เหอหนาน ยูนนาน เสฉวน ฯลฯ เพื่อเป็นการลดต้นทุน รวมทั้งสร้างมูลค่าทางสังคมและเศรษฐกิจ ในเมืองๆนั้น
MOGO BUS มาพร้อมความสามารถในการตรวจจับวัตถุไกลสุดกว่า 200 เมตร นอกจากนี้ยังมาพร้อมมุมมอง 360 องศา ระยะทางไกลเป็นพิเศษ การตรวจจับซ้ำซ้อนหลายจุด การผสานรวมระหว่าง ระบบนำทางด้วยดาวเทียม GNSS และ ระบบนำทางด้วยเลเซอร์ SLAM ความแม่นยำสูง ทำให้ระบุตำแหน่งได้รวดเร็วแบบเรียลไทม์ ในระดับความแม่นยำมิลลิเมตร Mogo AutoPilot และ Mogo Auto Brain มาพร้อมพลังการประมวลผล 1,000 TOPS
Autopilot มี 5 ระดับ ได้แก่
- ระดับ 1 จะมีระบบอัตโนมัติ ช่วยเหลือผู้ขับขี่ เช่น การบังคับเลี้ยวหรือการเร่งและรักษาคุมความเร็วคงที่ รวมทั้งระบบควบคุมความเร็วคงที่แบบปรับความเร็วอัตโนมัติ ซึ่งสามารถควบคุมยานพาหนะไว้ในระยะที่ปลอดภัยต่ออุบัตเหตุ ซึ่งคุณสมบัติ Level 1 ยังต้องการวิจารณญาณของมนุษย์คนขับ ตรวจสอบการใช้ฟังก์ชั่นช่วยขับขี่ร่วมด้วย
- ระดับ 2 จะมีระบบ ADAS หรือ Advanced Driver Assistance Systems ซึ่งเป็นระบบบังคับเลี้ยวอัตโนมัติคู่กับระบบความคุมอัตรเร่งและปรับความเร็วให้ทำงานประสานกันผ่านกลไกการควบคุมที่ซับซ้อน… ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ทุกค่ายล้วนใส่เงินไปกับการวิจัยระบบ ADAS ต่อเนื่องมานาน ซึ่งระบบ ADAS ที่มีชื่อเสียงและสอบผ่านมาตรฐาน Level 2 รุ่นแรกๆ จนได้ทดสอบ
- ระดับ 3 จะมีความสามารถในการตรวจจับสภาพแวดล้อม และสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดเช่น การเร่งแซงรถที่ช้า แต่ระบบก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากมนุษย์ แม้มนุษย์ไม่ต้องเหยียบคันเร่งถือพวงมาลัย… แต่ผู้ขับขี่จะต้องตื่นตัวและพร้อมที่จะเข้าควบคุมทันทีหากระบบผิดพลาด ซึ่งส่วนใหญ่ระบบจะออกแบบให้ตรวจสอบเงื่อนไขการทำงานอัตโนมัติตลอดเวลา และหาก Condition หรือเงื่อนไขการทำงานในระบบผิดพลาด… รถจะมีฟังก์ชั่นขอความช่วยเหลือจากมนุษย์ติดมาด้วย
- ระดับ 4 ไม่ต้องมีมนุษย์คอยช่วยเหลือในยามเข้าตาจนเหมือน Level 3 อีกเลย แม้จะมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นทั้งในระบบและสภาพแวดล้อมภายนอก หรือแม้แต่เกิดขัดข้องขึ้น พาหนะ Level 4 ก็จะจัดการความผิดปกติและบกพร่องทั้งหลายได้เอง โดยพึ่งพาและปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ในฐานะผู้โดยสาร มากกว่าจะพึ่งพามนุษย์ในฐานะผู้ควบคุมปกป้องความผิดพลาด พาหนะ Level 4 สามารถทำงานในโหมดขับขี่ด้วยตนเอง หรือ Self-Driving Mode ได้อย่างสมบูรณ์
- ระดับ 5 ไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆ จากมนุษย์อีก เพราะระบบจะทำงาน Dynamic Driving Task เต็มประสิทธิภาพ เทียบเท่าระดับเดียวกับหรือดีกว่ามนุษย์ที่มีทักษะการขับรถยอดเยี่ยมที่สุด… พาหนะ Level 5 จึงไม่มีแม้แต่พวงมาลัย แป้นเหยียบคันเร่งและแป้นเบรก ทำให้พาหนะ Level 5 เป็น Fully Autonomous Cars ซึ่งเป็นเป้าหมายความสำเร็จของการพัฒนายานพาหนะบนผิวพื้นยุคต่อไป… ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่า กฏหมายและโครงสร้างพื้นฐานของ Smart City