Volkswagen Gen.Travel Concept รถต้นแบบไฟฟ้า ไร้พวงมาลัย ขับขี่อัตโนมัติ L5
Volkswagen Group ได้นำเสนอการศึกษาการออกแบบเชิงนวัตกรรมในกรุงปารีส ภายใต้โครงการชื่อ GEN.TRAVEL โดยจะกำหนดเป้าหมาย และ นิยามใหม่ ของการเดินทางแห่งอนาคต แม้การออกแบบโดยรวม จะดูเวอร์ๆ แต่ในอนาคต การพัฒนาระบบขับขี่อัตโนมัติขั้นสูง ซึ่งกำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนถึงระดับไร้มนุษย์ขับขี่ หรือระดับ L5 ในตอนนั้นเราไม่จำเป็นต้องมีพวงมาลัย หรือ คันเร่ง
Volkswagen Gen.Travel มันคือรถต้นแบบแห่งอนาคต ที่ได้รับการศึกษาอย่างดี พร้อมการออกแบบจากทีม VW ด้วยรูปลักษณ์แปลกตา ประตู Gullwing ไม่มีพวงมาลัย ตัวรถมีการผสมผสานระหว่างซีดาน และ รถยนต์อเนกประสงค์ MPV หรือ MINI VAN อย่างลงตัว
Gen.Travel มันไม่ได้ออกแบบมาเพื่อจำหน่าย แต่เป็นแนวคิดแห่งอนาคต ที่แสดงวิสัยทัศน์ของรถยนต์ไฟฟ้ายุคใหม่ของ Volkswagen สามารถเช่าหรือเรียกใช้ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติได้ VW เรียกว่า “Innovation Experience Vehicle (IEV)” ทั้งหมดล้วนแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในทศวรรษข้างหน้า
ระบบกันสะเทือนแบบ eABC ที่สามารถคำนวนได้รอบทิศทาง และ กำหนดค่าการเข้าโค้ง การเร่งความเร็ว การเบรกล่วงหน้า ทั้งหมดจะช่วยให้การขับขี่สมดุลแบบอัตโนมัติ ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ VW จะให้ยานพาหนะขับเคลื่อนอัตโนมัติคันนี้ปลอดภัย และ มีประสิทธิภาพมากขึ้น
Gen.Travel คำนึกถึงการออกแบบเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุด ให้กับผู้โดยสาร โดยมีบานประตูปีกนกขนาดใหญ่อัตโนมัติ มีการตัดเสา B ออกเพื่อเพิ่มมุมมองที่กว้างขึ้น เบาะนั่งพับราบได้หมด เรือนกระจกรอบคันเห็นวิวชัดเจน หลังคากระจกขนาดใหญ่โปร่งสบาย
ภายในห้องโดยสารรองรับได้ 4 ที่นั่ง นอกจากนี้ยังมีโต๊ะกล่ง เบาะนั่งด้านหน้าสามารถหมุนได้ 360 องศา ภายในยังใช้วัสดุธรรมดา หรือ สามารถนำกลับไปใช้ใหม่ ระบบความบันเทิง AR
Volkswagen Group กำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างระบบขับเคลื่อนอัจฉริยะระดับ L5 สำหรับ Gen.Travel จะจัดแสดงในวันที่ 24 กันยายน 2022 ระหว่างงาน Chantilly Arts & Elegance ใกล้กรุงปารีส
Autopilot มี 5 ระดับ ได้แก่
- ระดับ 1 จะมีระบบอัตโนมัติ ช่วยเหลือผู้ขับขี่ เช่น การบังคับเลี้ยวหรือการเร่งและรักษาคุมความเร็วคงที่ รวมทั้งระบบควบคุมความเร็วคงที่แบบปรับความเร็วอัตโนมัติ ซึ่งสามารถควบคุมยานพาหนะไว้ในระยะที่ปลอดภัยต่ออุบัตเหตุ ซึ่งคุณสมบัติ Level 1 ยังต้องการวิจารณญาณของมนุษย์คนขับ ตรวจสอบการใช้ฟังก์ชั่นช่วยขับขี่ร่วมด้วย
- ระดับ 2 จะมีระบบ ADAS หรือ Advanced Driver Assistance Systems ซึ่งเป็นระบบบังคับเลี้ยวอัตโนมัติคู่กับระบบความคุมอัตรเร่งและปรับความเร็วให้ทำงานประสานกันผ่านกลไกการควบคุมที่ซับซ้อน… ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ทุกค่ายล้วนใส่เงินไปกับการวิจัยระบบ ADAS ต่อเนื่องมานาน ซึ่งระบบ ADAS ที่มีชื่อเสียงและสอบผ่านมาตรฐาน Level 2 รุ่นแรกๆ จนได้ทดสอบ
- ระดับ 3 จะมีความสามารถในการตรวจจับสภาพแวดล้อม และสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดเช่น การเร่งแซงรถที่ช้า แต่ระบบก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากมนุษย์ แม้มนุษย์ไม่ต้องเหยียบคันเร่งถือพวงมาลัย… แต่ผู้ขับขี่จะต้องตื่นตัวและพร้อมที่จะเข้าควบคุมทันทีหากระบบผิดพลาด ซึ่งส่วนใหญ่ระบบจะออกแบบให้ตรวจสอบเงื่อนไขการทำงานอัตโนมัติตลอดเวลา และหาก Condition หรือเงื่อนไขการทำงานในระบบผิดพลาด… รถจะมีฟังก์ชั่นขอความช่วยเหลือจากมนุษย์ติดมาด้วย
- ระดับ 4 ไม่ต้องมีมนุษย์คอยช่วยเหลือในยามเข้าตาจนเหมือน Level 3 อีกเลย แม้จะมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นทั้งในระบบและสภาพแวดล้อมภายนอก หรือแม้แต่เกิดขัดข้องขึ้น พาหนะ Level 4 ก็จะจัดการความผิดปกติและบกพร่องทั้งหลายได้เอง โดยพึ่งพาและปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ในฐานะผู้โดยสาร มากกว่าจะพึ่งพามนุษย์ในฐานะผู้ควบคุมปกป้องความผิดพลาด พาหนะ Level 4 สามารถทำงานในโหมดขับขี่ด้วยตนเอง หรือ Self-Driving Mode ได้อย่างสมบูรณ์
- ระดับ 5 ไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆ จากมนุษย์อีก เพราะระบบจะทำงาน Dynamic Driving Task เต็มประสิทธิภาพ เทียบเท่าระดับเดียวกับหรือดีกว่ามนุษย์ที่มีทักษะการขับรถยอดเยี่ยมที่สุด… พาหนะ Level 5 จึงไม่มีแม้แต่พวงมาลัย แป้นเหยียบคันเร่งและแป้นเบรก ทำให้พาหนะ Level 5 เป็น Fully Autonomous Cars ซึ่งเป็นเป้าหมายความสำเร็จของการพัฒนายานพาหนะบนผิวพื้นยุคต่อไป… ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่า กฏหมายและโครงสร้างพื้นฐานของ Smart City