Advertisement

Advertisement

TESLA ROBOTAXI โรโบแท็กซี่ พร้อมขับขี่อัตโนมัติ ก่อนเปิดตัว 11 ตุลาคมนี้ * ภาพในจินตนาการ

TESLA ROBOTAXI โรโบแท็กซี่ พร้อมขับขี่อัตโนมัติ ก่อนเปิดตัว 11 ตุลาคมนี้ * ภาพในจินตนาการ
Spread the love

Advertisement

Advertisement

Tesla เตรียมเปิดตัวโมเดลที่ล้ำสมัยที่สุดของตน นั่นคือ ‘โรโบแท็กซี่’ ไร้คนขับที่ปราศจากพวงมาลัยหรือแป้นเหยียบ หรือมาพร้อมระบบขับขี่อัตโนมัติด้วยซอฟต์แวร์ ‘Full Self-Driving’ ของ Teslaซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างรถยนต์ไร้คนขับขนาดเล็กจำนวนมากทั่วโลก เพื่อใช้สำหรับบริการเรียกรถ Taxi

Tesla เป็นผู้ผลิตยานยนต์รายหนึ่งที่เก็บความลับมากที่สุดในโลก แต่ข้อมูลที่ทราบเกี่ยวกับแท็กซี่ไร้คนขับรุ่นใหม่ ซึ่งอาจมีชื่อว่า Cybercab คาดว่าจะเป็นรถขนาดเล็ก 2 ที่นั่ง 2 ประตู มีสไตล์ดีไซน์เหลี่ยมมุมที่ได้รับแรงบันดาลใจจากกระบะ Cybertruck และประตูทรงรถซุปเปอร์คาร์สุดเท่

ข้อมูลจำเพาะและการชาร์จของ Tesla robotaxi

ยังคงมีข้อมูลไม่มากนักว่ารถแท็กซี่โรโบแท็กซี่ของ Tesla จะใช้ระบบขับเคลื่อนอะไร แต่นอกเหนือจากนั้น แน่นอนว่ารถแท็กซี่รุ่นนี้จะเป็นแบบไฟฟ้า

นอกจากนี้ในเดือนเมษายน 2023 เอกสารที่เผยแพร่โดย Tesla แนะนำว่ารุ่น “ขนาดกะทัดรัด” ในอนาคตของแบรนด์จะเหมาะกับแบตเตอรี่ลิเธียมไออนฟอสเฟต (LFP) ขนาด 53kWh หรือเท่ากับ 60kwh ของรถยนต์ Model 3 ที่วิ่งได้ 513 กม./ชาร์จ WLTP

แท็กซี่โรโบแท็กซี่ของ Tesla จะเปิดตัวในวันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม 2024 เวลา 13.00 น. AEDT (ตามเวลาซิดนีย์และเมลเบิร์น) ในงานที่จะจัดขึ้นที่สตูดิโอภาพยนตร์ Warner Bros. ในเขตชานเมืองเบอร์แบงก์ ลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย

Autopilot มี 5 ระดับ ได้แก่

  • ระดับ 1 จะมีระบบอัตโนมัติ ช่วยเหลือผู้ขับขี่ เช่น การบังคับเลี้ยวหรือการเร่งและรักษาคุมความเร็วคงที่ รวมทั้งระบบควบคุมความเร็วคงที่แบบปรับความเร็วอัตโนมัติ ซึ่งสามารถควบคุมยานพาหนะไว้ในระยะที่ปลอดภัยต่ออุบัตเหตุ ซึ่งคุณสมบัติ Level 1 ยังต้องการวิจารณญาณของมนุษย์คนขับ ตรวจสอบการใช้ฟังก์ชั่นช่วยขับขี่ร่วมด้วย
  • ระดับ 2 จะมีระบบ ADAS หรือ Advanced Driver Assistance Systems ซึ่งเป็นระบบบังคับเลี้ยวอัตโนมัติคู่กับระบบความคุมอัตรเร่งและปรับความเร็วให้ทำงานประสานกันผ่านกลไกการควบคุมที่ซับซ้อน… ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ทุกค่ายล้วนใส่เงินไปกับการวิจัยระบบ ADAS ต่อเนื่องมานาน ซึ่งระบบ ADAS ที่มีชื่อเสียงและสอบผ่านมาตรฐาน Level 2 รุ่นแรกๆ จนได้ทดสอบ
  • ระดับ 3 จะมีความสามารถในการตรวจจับสภาพแวดล้อม และสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดเช่น การเร่งแซงรถที่ช้า แต่ระบบก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากมนุษย์ แม้มนุษย์ไม่ต้องเหยียบคันเร่งถือพวงมาลัย… แต่ผู้ขับขี่จะต้องตื่นตัวและพร้อมที่จะเข้าควบคุมทันทีหากระบบผิดพลาด ซึ่งส่วนใหญ่ระบบจะออกแบบให้ตรวจสอบเงื่อนไขการทำงานอัตโนมัติตลอดเวลา และหาก Condition หรือเงื่อนไขการทำงานในระบบผิดพลาด… รถจะมีฟังก์ชั่นขอความช่วยเหลือจากมนุษย์ติดมาด้วย
  • ระดับ 4 ไม่ต้องมีมนุษย์คอยช่วยเหลือในยามเข้าตาจนเหมือน Level 3 อีกเลย แม้จะมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นทั้งในระบบและสภาพแวดล้อมภายนอก หรือแม้แต่เกิดขัดข้องขึ้น พาหนะ Level 4 ก็จะจัดการความผิดปกติและบกพร่องทั้งหลายได้เอง โดยพึ่งพาและปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ในฐานะผู้โดยสาร มากกว่าจะพึ่งพามนุษย์ในฐานะผู้ควบคุมปกป้องความผิดพลาด พาหนะ Level 4 สามารถทำงานในโหมดขับขี่ด้วยตนเอง หรือ Self-Driving Mode ได้อย่างสมบูรณ์
  • ระดับ 5 ไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆ จากมนุษย์อีก เพราะระบบจะทำงาน Dynamic Driving Task เต็มประสิทธิภาพ เทียบเท่าระดับเดียวกับหรือดีกว่ามนุษย์ที่มีทักษะการขับรถยอดเยี่ยมที่สุด… พาหนะ Level 5 จึงไม่มีแม้แต่พวงมาลัย แป้นเหยียบคันเร่งและแป้นเบรก ทำให้พาหนะ Level 5 เป็น Fully Autonomous Cars ซึ่งเป็นเป้าหมายความสำเร็จของการพัฒนายานพาหนะบนผิวพื้นยุคต่อไป… ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่า กฏหมายและโครงสร้างพื้นฐานของ Smart City

Drive

Advertisement

Advertisement

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหาของหน้านี้ได้