BYD ส่งจดหมายขอให้ซัพพลายเออร์ลดราคาลง 10% ภายในปี 2025 ในจีน
สงครามราคารถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในจีนยังคงเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง โดย BYD อยู่ในแนวหน้า ใช้กลยุทธ์ที่ดุดันเพื่อรักษาความเป็นผู้นำของตน การรั่วไหลของอีเมลเกี่ยวกับแผนลดต้นทุนของ BYD ล่าสุด ได้ชี้ให้เห็นถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นต่อซัพพลายเออร์เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันสูง ในขณะที่ผู้เล่นรายเล็กต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด อีเมลที่หลุดจาก He Zhiqi รองประธานบริหารของ BYD ระบุเป้าหมายให้ซัพพลายเออร์ลดราคาลง 10% ภายในปี 2025
ประเด็นสำคัญ
แผนลดต้นทุนเชิงรุกของ BYD:
- อีเมลที่หลุดจาก He Zhiqi รองประธานบริหารของ BYD ระบุเป้าหมายให้ซัพพลายเออร์ลดราคาลง 10% ภายในปี 2025
- BYD เน้นย้ำถึงความร่วมมือในห่วงโซ่อุปทานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
- บริษัทยืนยันว่าเป้าหมายเหล่านี้สามารถเจรจาได้ และเป็นไปตามมาตรฐานการเจรจาประจำปีในอุตสาหกรรม
ผลการดำเนินงานของ BYD
- BYD กำลังจะขายรถยนต์ได้มากกว่า 3.6 ล้านคันในปีนี้ พร้อมอัตรากำไรขั้นต้นไตรมาส 3 อยู่ที่ 21.9%
- รายได้ในไตรมาสเดียวกันของ BYD สูงกว่า Tesla ทำให้บริษัทแข็งแกร่งในฐานะผู้นำระดับโลกในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า
- หากแนวโน้มยังคงเป็นเช่นนี้ BYD อาจแซงหน้าผู้ผลิตรถยนต์ดั้งเดิมอย่าง Ford และ Honda ในยอดขายประจำปี
ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโดยรวม
- สงครามราคา รถยนต์ไฟฟ้าในจีนดำเนินมาอย่างดุเดือดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ผู้ผลิตรถยนต์รายเล็กต้องออกจากตลาดและเกิดการควบรวมกิจการ นอกจากนี้ สงครามยังกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือระหว่างผู้ผลิตรถยนต์ในจีนและตะวันตก ดังจะเห็นได้จากความร่วมมือระหว่าง Volkswagen กับ Xpeng เมื่อไม่นานนี้ การแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้นทำให้ราคาสำหรับผู้บริโภคอยู่ในระดับต่ำ แต่ยังเพิ่มแรงกดดันให้ผู้ผลิตรถยนต์ต้องหาวิธีใหม่ๆ เพื่อลดต้นทุนและอยู่รอดต่อไป
- สงครามราคาที่ดำเนินอยู่ได้บีบให้ผู้ผลิตรถยนต์รายเล็กต้องออกจากตลาดและเร่งให้เกิดการควบรวมกิจการ
- ความร่วมมือ เช่น การจับมือกันระหว่าง Volkswagen กับ Xpeng ชี้ให้เห็นถึงกลยุทธ์การเอาตัวรอดรูปแบบใหม่ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือด
การตอบสนองของคู่แข่ง:
- Tesla ได้ลดราคารุ่น Model Y ในจีนลง 4% แสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะคงความสามารถในการแข่งขัน
- ผู้ผลิตรายอื่น เช่น SAIC Maxus Automotive ก็ขอให้ซัพพลายเออร์ลดต้นทุนลง 10% เช่นกัน โดยอ้างถึงปัญหาสินค้าล้นตลาดและการแข่งขันที่รุนแรง
ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม:
- ผู้บริโภค: สงครามราคาทำให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากราคาที่ถูกลง ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
- ซัพพลายเออร์: แรงกดดันในการลดต้นทุนเพิ่มความเสี่ยงต่อความสัมพันธ์และผลกำไรของซัพพลายเออร์
- ผู้ผลิตรถยนต์: บริษัทจำเป็นต้องสร้างนวัตกรรม ขยายการผลิต และปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานเพื่อความอยู่รอด
ความได้เปรียบของ BYD
ความสามารถของ BYD ในการเพิ่มการผลิต รักษาอัตรากำไร และแข่งขันด้านราคาทำให้บริษัทกลายเป็นผู้เล่นที่แข็งแกร่งในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าระดับโลก อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ที่ดุดันของบริษัทอาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจกำหนดทิศทางใหม่ของการแข่งขันในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก