Advertisement

Advertisement

ฮอนด้าและนิสสันเตรียมรวมกิจการ ตั้งเป้าปี 2026 สร้างกลุ่มยานยนต์อันดับ 3 ของโลก

ฮอนด้าและนิสสันเตรียมรวมกิจการ ตั้งเป้าปี 2026 สร้างกลุ่มยานยนต์อันดับ 3 ของโลก
Spread the love

Advertisement

Advertisement

อุชิดะ มาโคโตะ ประธานและซีอีโอนิสสัน (ซ้าย) และ มิเบะ โทชิฮิโระ ผู้อำนวยการและประธานฮอนด้า (ขวา)

ฮอนด้าและนิสสันเตรียมรวมกิจการ ตั้งเป้าปี 2026 สร้างกลุ่มยานยนต์อันดับ 3 ของโลก

ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่าง Nissan และ Honda เพื่อพัฒนาอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์

Nissan Motor Co., Ltd. (“Nissan”) และ Honda Motor Co., Ltd. (“Honda”) ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อเริ่มการหารือและพิจารณาแนวทางในการควบรวมธุรกิจผ่านการจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งร่วม (Joint Holding Company) โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความแข็งแกร่งและความยั่งยืนในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

  • MOU ย่อมาจาก Memorandum of Understanding ซึ่งหมายถึง บันทึกข้อตกลง ในภาษาไทย เป็นเอกสารที่ระบุความเข้าใจร่วมกันระหว่างสองฝ่ายหรือมากกว่านั้นเกี่ยวกับเงื่อนไข ข้อตกลง หรือเป้าหมายที่ต้องการบรรลุร่วมกัน MOU มักใช้ในสถานการณ์ที่ต้องการความชัดเจนในความร่วมมือ แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นข้อตกลงที่มีผลทางกฎหมายแบบสมบูรณ์ (เช่น สัญญา)

จุดมุ่งหมายของความร่วมมือ

  1. มุ่งสู่สังคมคาร์บอนเป็นกลาง
    เร่งการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนเป้าหมายของสังคมที่มีการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ และลดอุบัติเหตุทางถนนให้เหลือศูนย์
  2. นวัตกรรมด้านความอัจฉริยะและพลังงานไฟฟ้า
    พัฒนาเทคโนโลยีสำหรับยานยนต์ยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยซอฟต์แวร์ (Software-Defined Vehicles: SDVs) ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในด้านความอัจฉริยะและการใช้พลังงานไฟฟ้า

ประโยชน์และความได้เปรียบที่คาดว่าจะได้รับ

  1. ขนาดธุรกิจที่ใหญ่ขึ้นด้วยการรวมแพลตฟอร์มยานยนต์
    การใช้แพลตฟอร์มยานยนต์ร่วมกันในหลากหลายผลิตภัณฑ์จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
  2. การพัฒนาวิจัยร่วมกัน
    รวมศูนย์งานวิจัยและพัฒนาด้านเทคโนโลยีพื้นฐานและการประยุกต์ใช้กับยานยนต์ เพื่อเพิ่มศักยภาพทางเทคโนโลยีและลดต้นทุน
  3. การเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต
    การจัดการโรงงานและสายการผลิตร่วมกันจะช่วยลดต้นทุนคงที่และเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร
  4. ความได้เปรียบด้านห่วงโซ่อุปทาน
    การรวมการจัดซื้อจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และสร้างความแข็งแกร่งในด้านการจัดหาชิ้นส่วน
  5. การเพิ่มประสิทธิภาพด้านการดำเนินงาน
    การรวมระบบและกระบวนการทำงานจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในระยะยาว
  6. การรวมบริการด้านการเงิน
    เสนอทางเลือกทางการเงินที่ครอบคลุมตลอดอายุการใช้งานของยานยนต์ เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า
  7. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
    เพิ่มการแลกเปลี่ยนบุคลากรและความร่วมมือด้านเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาทักษะและดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถ

โครงสร้างการดำเนินธุรกิจ

  • จะมีการจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งร่วม ซึ่งจะเป็นบริษัทแม่ของ Nissan และ Honda โดยหุ้นของบริษัทโฮลดิ้งนี้จะถูกจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (TSE) ในเดือนสิงหาคม 2026
  • Nissan และ Honda จะยังคงดำเนินธุรกิจในฐานะแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ภายใต้การบริหารของบริษัทโฮลดิ้ง

แผนดำเนินงาน

  • ธันวาคม 2024: การลงนามใน MOU
  • มิถุนายน 2025: การลงนามในข้อตกลงขั้นสุดท้าย
  • สิงหาคม 2026: การโอนหุ้นมีผลบังคับใช้ และจดทะเบียนบริษัทโฮลดิ้งในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว

โครงสร้างใหม่ของบริษัท

  1. จัดตั้งบริษัทโฮลดิ้ง
    บริษัทโฮลดิ้งใหม่ที่จะจัดตั้งขึ้นนั้นจะอยู่ภายใต้การนำของฮอนด้า โดยฮอนด้าจะได้รับสิทธิ์แต่งตั้งกรรมการบริหารเกินกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมด ทำให้โครงสร้างใหม่มีลักษณะการบริหารที่ฮอนด้าเป็นผู้กำหนดทิศทางหลัก
  2. การรวมมิตซูบิชิ มอเตอร์ส
    นิสสันซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ได้มีการหารือถึงความเป็นไปได้ในการนำมิตซูบิชิเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างใหม่นี้ โดยตั้งเป้าที่จะลงนามในข้อตกลงฉบับสุดท้ายภายในเดือนมิถุนายน 2025

เป้าหมายของการควบรวมกิจการ

  1. การพัฒนาร่วมกันของเทคโนโลยี
    ฮอนด้าและนิสสันตั้งใจที่จะสร้างความร่วมมือในด้านการพัฒนาเทคโนโลยี เช่น รถยนต์ไฮบริด (HV) และรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขัน นอกจากนี้ยังวางแผนที่จะใช้ชิ้นส่วนและแพลตฟอร์มร่วมกันเพื่อลดความซับซ้อนในการผลิต
  2. การเพิ่มศักยภาพในตลาดโลก
    การรวมกิจการนี้จะช่วยให้นิสสันสามารถแก้ไขปัญหาการขาดแคลนรถยนต์ไฮบริดในตลาดอเมริกาเหนือ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาด้านผลประกอบการ
  3. การปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน
    ทั้งสองบริษัทวางแผนที่จะรวมแผนกวิจัยและพัฒนาเข้าด้วยกัน รวมถึงปรับปรุงการบริหารจัดการโรงงานผลิต เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน

ผลกระทบในระดับโลก

หากการควบรวมกิจการของฮอนด้าและนิสสันสำเร็จ จะส่งผลให้เกิดกลุ่มบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก โดยในปี 2023 โตโยต้ามียอดขาย 11.23 ล้านคัน และโฟล์กสวาเกนมียอดขาย 9.23 ล้านคัน ในขณะที่กลุ่มใหม่นี้จะสามารถทำยอดขายได้ใกล้เคียงกัน และมีรายได้รวมประมาณ 30 ล้านล้านเยน

เบื้องหลังของการตัดสินใจ

  1. แรงกดดันจากคู่แข่งในต่างประเทศ
    การเติบโตของบริษัทในสหรัฐอเมริกาและจีน เช่น Tesla รวมถึงบริษัทเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เข้าสู่ตลาดยานยนต์ เป็นแรงผลักดันให้ฮอนด้าและนิสสันต้องเร่งเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน
  2. การป้องกันการครอบงำจากต่างชาติ
    บริษัทจากไต้หวันอย่าง Hon Hai Precision Industry (Foxconn) ซึ่งมีแผนเข้าซื้อกิจการของนิสสันในช่วงที่บริษัทเผชิญปัญหาทางการเงิน ก็เป็นอีกปัจจัยที่กระตุ้นให้ทั้งสองฝ่ายเร่งเจรจาเพื่อสร้างความมั่นคงในประเทศ

ความท้าทายและอนาคต

แม้การควบรวมกิจการจะมีประโยชน์หลายด้าน แต่การผสานวัฒนธรรมองค์กร การจัดการโครงสร้างใหม่ และการได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยังถือเป็นอุปสรรคที่ต้องเอาชนะ ในอนาคต การรวมตัวครั้งนี้จะช่วยให้ฮอนด้าและนิสสันสามารถแข่งขันได้ในยุคที่อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่เทคโนโลยีไฟฟ้าและระบบอัตโนมัติ

การควบรวมกิจการของฮอนด้าและนิสสันไม่เพียงแต่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของอุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนสมดุลของอุตสาหกรรมยานยนต์โลกอย่างมีนัยสำคัญ

ยอดขายทั่วโลกของกลุ่มบริษัทรถยนต์ในญี่ปุ่น (ปี 2023)

กลุ่ม Honda-Nissan-Mitsubishi : 8.13 ล้านคัน

การเจรจารวมกลุ่ม

  • Honda: 3.98 ล้านคัน
  • Nissan: 3.37 ล้านคัน

กำลังพิจารณาเข้าร่วมกลุ่ม

  • Mitsubishi Motors: 0.78 ล้านคัน

กลุ่ม TOYOTA : 16.45 ล้านคัน

  • Toyota: 11.23 ล้านคัน
  • Suzuki: 3.07 ล้านคัน
  • Mazda: 1.24 ล้านคัน
  • Subaru: 0.91 ล้านคัน

(หมายเหตุ: ตัวเลขน้อยกว่า 1 แสนคันจะถูกปัดทิ้ง ตัวเลขจัดทำจากข้อมูลที่เปิดเผยโดยบริษัทต่าง ๆ)

  • ภาพนี้เปรียบเทียบยอดขายรถยนต์ทั่วโลกของสองกลุ่มบริษัทใหญ่ในญี่ปุ่น ได้แก่ กลุ่ม Honda-Nissan และ กลุ่ม Toyota ในปี 2023
  • กลุ่ม Honda-Nissan มียอดรวม 8.13 ล้านคัน โดย Honda และ Nissan อยู่ในขั้นตอนการเจรจารวมกลุ่ม และ Mitsubishi Motors กำลังพิจารณาเข้าร่วมกลุ่ม
  • กลุ่ม Toyota มียอดขายสูงถึง 16.45 ล้านคัน โดยมี Toyota เป็นผู้นำ และ Suzuki, Mazda, Subaru เป็นพันธมิตรร่วมกลุ่ม

yomiuri

คาร์ลอส กอส์น อดีต CEO ของ Nissan วิจารณ์แผนควบรวมกับ Honda อย่างหนัก

Advertisement

Advertisement

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหาของหน้านี้ได้