รองประธานบริหาร MITSUBISHI ระบุว่า แบรนด์ยังนำเข้าคู่แข่งจากจีนหนึ่งก้าว ในภูมิภาคอาเซียน

รองประธานบริหาร MITSUBISHI ระบุว่า แบรนด์ยังนำเข้าคู่แข่งจากจีนหนึ่งก้าว ในภูมิภาคอาเซียน
Spread the love

Advertisement

Advertisement

 

 

หัวหน้ามิตซูบิชิกล่าวว่าแบรนด์ยังคง “นำหน้าคุ่แข่งจากจีนอยู่หนึ่งก้าว” ในภูมิภาคอาเซียน

เห็นได้ชัดว่าผู้ผลิตรถยนต์จากจีนกำลังเข้ามามีบทบาทในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และคาดว่าจะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ แต่ถึงกระนั้น มิตซูบิชิมอเตอร์สยังคงมั่นใจว่าสามารถแข่งขันกับภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นในตลาดที่ใหญ่ที่สุดของตนได้

ในการให้สัมภาษณ์กับ Nikkei Asia นาย ทัตสึโอะ นากามูระ รองประธานบริหารของ Mitsubishi Motors กล่าวว่าแบรนด์ยังคงนำหน้าคู่แข่งจากจีนอยู่หนึ่งก้าวในภูมิภาคอาเซียน โดยอ้างอิงจากปัจจัยหลักหลายประการ ได้แก่ เครือข่ายศูนย์บริการที่กว้างขวางกว่ามาก มูลค่าขายต่อที่เหนือกว่า และผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการออกแบบให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าในประเทศอาเซียน

เครือข่ายบริการที่กว้างขวางคือข้อได้เปรียบสำคัญ

นากามูระกล่าวว่า ผู้ผลิตรถยนต์จากจีนยังต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะสามารถสร้างเครือข่ายศูนย์บริการที่กว้างขวางได้เทียบเท่ากับมิตซูบิชิ ด้วยความพร้อมของบริการหลังการขายและอะไหล่ที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย ทำให้ลูกค้าเกิดความไว้วางใจและรู้สึกอุ่นใจ ซึ่งถือเป็นจุดแข็งที่มิตซูบิชิได้เปรียบ

ผลกระทบของสงครามราคาในจีน

นอกจากนี้ ผู้บริหารของมิตซูบิชิยังกล่าวถึงสงครามราคาที่กำลังเกิดขึ้นในจีน ซึ่งส่งผลเสียต่อทั้งตลาดรถใหม่และตลาดรถมือสองของแบรนด์จีน ด้วยการที่ดีลเลอร์เสนอส่วนลดมหาศาล ทำให้ลูกค้าที่ซื้อรถไปก่อนหน้านี้ไม่พอใจเพราะต้องจ่ายแพงกว่า อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อมูลค่าขายต่อของรถยนต์เหล่านั้นในตลาดมือสอง

รถที่พัฒนาเพื่อตลาดอาเซียนโดยเฉพาะ

สุดท้าย มิตซูบิชิยังเน้นไปที่การพัฒนารถยนต์ให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าในภูมิภาคอาเซียน เช่น Xpander, Xforce และ DST รุ่นผลิตจริงที่จะเปิดตัวเร็ว ๆ นี้ ซึ่งมาพร้อมห้องโดยสารกว้างขวาง ช่วงล่างแข็งแกร่งรองรับสภาพถนนขรุขระ และความสูงจากพื้นถนนที่เหมาะกับสภาพอากาศที่มีฝนตกหนักและน้ำท่วมในภูมิภาค

กลยุทธ์ด้านรถยนต์ไฟฟ้า

เมื่อพูดถึงการเปลี่ยนผ่านสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้า มิตซูบิชิเลือกใช้ รถไฮบริด เป็นตัวขับเคลื่อนหลักแทนการผลักดันรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานสำหรับชาร์จแบตเตอรี่ในภูมิภาคยังมีข้อจำกัดอยู่มาก

โดยคาดว่าตลาดอาเซียนจะคิดเป็นประมาณ 30% ของยอดขายรวมของมิตซูบิชิในปี 2025 แบรนด์จึงให้ความสำคัญกับปัจจัยเหล่านี้เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน ท่ามกลางแรงกดดันจากผู้ผลิตจีน รวมถึงสถานการณ์ความไม่แน่นอนต่าง ๆ เช่น นโยบายภาษีการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ในยุคโดนัลด์ ทรัมป์

Advertisement

Advertisement

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหาของหน้านี้ได้