Mazda คืนชีพ “โรตารี 2 โรเตอร์”! พร้อมฝ่าด่าน Euro 7 – ลุ้นคืนชีพรถสปอร์ตในตำนาน!

วันที่ 16 เมษายน — แฟนๆเครื่องยนต์โรตารีได้เฮ! เพราะแผนฟื้นฟูเครื่องยนต์โรตารีของ Mazda กำลังเข้าใกล้การกลับสู่ตลาดมากขึ้นทุกที โดยตอนนี้ทางบริษัทกำลังพัฒนาเครื่องยนต์ โรตารีแบบ 2 โรเตอร์ สำหรับตลาดสหรัฐฯ และทีมวิศวกรก็มีความมั่นใจว่าเครื่องนี้จะสามารถผ่านมาตรฐานไอเสียที่เข้มงวดที่สุดในปัจจุบันได้สำเร็จ
ตามรายงานของ Road & Track เมื่อวันที่ 15 เมษายน ซีอีโอของ Mazda นาย Masahiro Moro (มาซาฮิโระ โมโระ) ได้เปิดเผยว่า เขาได้สั่งให้รื้อฟื้นทีมพัฒนาเครื่องยนต์โรตารีขึ้นมาใหม่ โดยมีเป้าหมายหลักคือ ทำให้เครื่องยนต์ผ่านมาตรฐาน LEV IV ของสหรัฐฯ และ Euro 7 ของยุโรป ให้ได้
“เรารู้ดีว่าเครื่องยนต์โรตารีในอดีตมีปัญหาเรื่องไอเสีย นั่นคือเหตุผลที่เราหยุดผลิตไปตั้งแต่ปี 2012 แต่นับจากปีที่ผ่านมา ความก้าวหน้าในการพัฒนาเรียกได้ว่าน่าตื่นเต้นมาก”
โมโระยังกล่าวอีกว่า เครื่องยนต์แบบโรเตอร์เดียวไม่สามารถสร้างแรงม้าได้มากพอที่จะทำให้ลูกค้าในสหรัฐฯ ตื่นเต้น จึงเป็นที่มาของการหันไปพัฒนา เครื่องยนต์แบบ 2 โรเตอร์ แทน
ปัญหาไม่ใช่เทคโนโลยี แต่คือ “โมเดลธุรกิจ”
สิ่งที่ยังเป็นอุปสรรคต่อการกลับมาของรถยนต์เครื่องโรตารีตอนนี้ ไม่ใช่ปัญหาเชิงเทคนิค อีกต่อไป แต่คือการหา จุดยืนทางการตลาด ที่เหมาะสม
“จากมุมมองทางเทคนิค เราพร้อมแล้ว แต่ความท้าทายต่อไปคือ ต้องหาวิธีที่เหมาะสมในการวางขายในตลาด ซึ่งเราต้องการความช่วยเหลือจากทุกคนในเรื่องนี้”
สำหรับใครที่ติดตาม Mazda มาตลอดจะรู้ว่า พวกเขาเคยนำเครื่องยนต์โรตารีกลับมาผลิตอีกครั้งในปี 2023 โดยใช้ในรถครอสโอเวอร์ไฟฟ้า Mazda MX-30 ในรูปแบบ เครื่องยนต์โรตารีสำหรับเพิ่มระยะทาง (Range Extender)
แต่ครั้งนี้ต่างออกไป เพราะเครื่องยนต์โรตารีแบบ 2 โรเตอร์ใหม่นี้ มีแนวโน้มจะถูกติดตั้งใน รถสปอร์ตขับสนุก มากกว่ารถเน้นใช้งาน
มีแววได้เห็นรุ่นผลิตจริงจาก Iconic SP Concept
Mazda เองก็เคยเผยว่า กำลังพิจารณาการผลิตรถสปอร์ตที่ได้แรงบันดาลใจจากคอนเซ็ปต์คาร์ Mazda Iconic SP และในการให้สัมภาษณ์ครั้งล่าสุด โมโระได้แง้มว่า ถ้ารถคันนี้ได้ผลิตจริง อาจจะไม่มีเกียร์ธรรมดาแล้ว แต่จะใช้ระบบส่งกำลังแบบใหม่ที่ เปลี่ยนเกียร์ได้เร็วกว่า เพื่อให้ตอบโจทย์ยุคใหม่มากขึ้น
สรุปง่ายๆ:
-
Mazda เอาจริงกับการคืนชีพเครื่องยนต์โรตารี
-
คราวนี้มาแบบ “2 โรเตอร์” พร้อมจะผ่านมาตรฐานไอเสียโหดๆ
-
เหลือแค่หาโมเดลธุรกิจให้เหมาะ ก็พร้อมลงตลาดทันที
-
ลุ้นได้เห็น Iconic SP กลายเป็นรถสปอร์ตไฟฟ้าสไตล์เรโทรที่แรงและล้ำยุคในเวลาไม่นานนี้
Euro 7 คือมาตรฐานการปล่อยมลพิษจากรถยนต์ของสหภาพยุโรป (EU) ที่อัปเกรดจาก Euro 6 ซึ่งใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยมีเป้าหมายเพื่อลดมลพิษทางอากาศจากรถยนต์ให้เข้มข้นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะ ฝุ่น PM, ไนโตรเจนออกไซด์ (NOx), และ มลพิษจากเบรกและยาง ซึ่งไม่เคยถูกควบคุมอย่างจริงจังมาก่อน
สิ่งที่ Euro 7 เน้นเป็นพิเศษ:
- ลด NOx และฝุ่นละออง จากทั้งรถยนต์ดีเซลและเบนซิน
- ควบคุมมลพิษจากเบรกและยาง (ไม่ใช่แค่จากท่อไอเสียอีกต่อไป)
- รถยนต์ไฟฟ้าก็โดนด้วย! ต้องแสดงอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ และมีการตรวจสอบความทนทาน
- อายุการควบคุมมลพิษนานขึ้น จากเดิม 5 ปี/100,000 กม. เป็น 10 ปี/200,000 กม.
Euro 7 ต่างจาก Euro 6 ยังไง?
หัวข้อหลัก | Euro 6 (ปัจจุบัน) | Euro 7 (อนาคต ปี 2027) |
---|---|---|
สารมลพิษที่ควบคุม | เน้น NOx, CO, PM (ฝุ่น), HC | ควบคุม มลพิษเพิ่มขึ้น รวมถึงจาก เบรก ยาง แบตเตอรี่ |
ค่าปล่อยมลพิษ | มีการจำกัด แต่ไม่เท่ากันในรถเบนซิน/ดีเซล | ใช้มาตรฐานเดียวกันทุกเครื่องยนต์ เบนซิน-ดีเซลไม่แยกแล้ว |
มลพิษจากเบรก/ยาง | ❌ ไม่ควบคุม | ✅ ควบคุมละเอียด (เพราะ PM จากเบรก-ยางก็ทำร้ายปอด) |
มลพิษจากรถไฟฟ้า (EV) | ❌ ไม่เกี่ยว | ✅ ต้องโชว์ สุขภาพแบต, ความทนทาน, อายุใช้งาน |
อายุการรับรองระบบควบคุมมลพิษ | 5 ปี หรือ 100,000 กม. | เพิ่มเป็น 10 ปี หรือ 200,000 กม. |
ค่าทดสอบจริง (RDE) | ใช้จริงแล้ว แต่ยังมีช่องให้ปรับจูน | เข้มงวดขึ้นมาก ใกล้เคียงการใช้งานบนถนนจริง |
เทคโนโลยีที่ต้องมี | กรองฝุ่น, SCR, EGR ฯลฯ | ต้องใช้ เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ระบบเซนเซอร์อัจฉริยะ, AI ตรวจจับสภาพการใช้งาน |