ปรับภาษี PHEV ครั้งใหญ่! วิ่งไฟไม่ถึง 80 กม. เจอภาษีพุ่ง 2 เท่า เริ่มปี 69

29 เม.ย. 2568 – ครม. ไฟเขียวปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ PHEV ตามข้อเสนอจากกรมสรรพสามิต ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง เผยรายละเอียดสำคัญ ดังนี้:
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวงใหม่
- แยกอัตราภาษี PHEV ออกจาก HEV เพื่อความชัดเจนและเป็นธรรม
- เกณฑ์ภาษีใหม่พิจารณาจากระยะทางวิ่งด้วยไฟฟ้าต่อการชาร์จ 1 ครั้งเท่านั้น
- ยกเลิกการใช้ขนาดถังน้ำมัน เป็นเงื่อนไขในการคำนวณภาษี ลดภาระผู้ผลิต และสอดคล้องกับมาตรฐานโลก
อัตราภาษีใหม่ (มีผล 1 ม.ค. 2569 เป็นต้นไป)
- PHEV ที่วิ่งไฟฟ้า ≥ 80 กม./ชาร์จ → ภาษี 5%
- PHEV ที่วิ่งไฟฟ้า < 80 กม./ชาร์จ → ภาษี 10%
เป้าหมายของการเปลี่ยนแปลง
- ส่งเสริมการผลิต PHEV ที่มีคุณภาพสูง
- ดึงดูดนักลงทุนและผู้ผลิตระดับโลก
- สนับสนุนการใช้พลังงานไฟฟ้าในเมือง และลดมลพิษ
วันนี้ (29 เม.ย. 68) ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่..) พ.ศ. …. ตามที่กรมสรรพสามิตเสนอ เพื่อปรับปรุงเงื่อนไขภาษีรถยนต์ Plug-in Hybrid Electric Vehicle (PHEV) โดยมีรายละเอียดคือ
1. ให้มีอัตราภาษีที่แตกต่างจากรถยนต์ Hybrid Electric Vehicle (HEV)
2. กำหนดเงื่อนไขการคำนวณอัตราภาษีสรรพสามิตเฉพาะระยะทางการวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าต่อการประจุไฟฟ้า 1 ครั้ง (การชาร์จ) เท่านั้น
3. ยกเลิกขนาดถังน้ำมันให้ไม่เป็นเงื่อนไขการกำหนดอัตราภาษี PHEV เพื่อลดศักยภาพของประเทศในการเป็นศูนย์กลางการผลิต เพราะต้องผลิตถังน้ำมันที่ไม
สอดคล้องกับมาตรฐานสากล อีกทั้งยังเป็นการสร้างข้อจำกัดโดยไม่จำเป็น สร้างภาระ และทำให้ PHEV ไม่ได้รับความนิยม
สำหรับอัตราอัตราภาษีสรรพสามิต ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 มีรายละเอียดดังนี้
1) รถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ประเภท PHEV ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด ที่มีระยะวิ่งด้วยระยะทางการวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 80 กิโลเมตร ต่อการประจุไฟฟ้า 1 ครั้ง ให้มีอัตราภาษีสรรพสามิตที่ร้อยละ 5
2) รถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ประเภท PHEV ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด ที่มีระยะวิ่งด้วยระยะทางการวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าต่ำกว่า 80 กิโลเมตร ต่อการประจุไฟฟ้า 1 ครั้ง ให้มีอัตราภาษีสรรพสามิตที่ร้อยละ 10
การกำหนดพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์ดังกล่าวสอดคล้องกับหลักสากล ช่วยส่งเสริมและต่อยอดให้ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ PHEV ที่มีมาตรฐานและสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย ตอบสนองการใช้รถยนต์ PHEV ที่สามารถใช้พลังงานไฟฟ้าในเขตตัวเมือง และใช้พลังงานผสมในการเดินทางระหว่างเมือง
ณ ปัจจุบัน (ปี 2568) รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ในประเทศไทยยังคงเสียภาษีสรรพสามิตในอัตราเดียวกับรถยนต์ไฮบริด (HEV) โดยพิจารณาจากปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂)
อัตราภาษีสรรพสามิตตามการปล่อย CO₂ (เริ่มใช้ 1 ม.ค. 2559)
-
รถยนต์นั่งทั่วไป (ความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 ซีซี):
- ปล่อย CO₂ ไม่เกิน 150 กรัม/กม.: 30%
- ปล่อย CO₂ 151–200 กรัม/กม.: 35%
- ปล่อย CO₂ เกิน 200 กรัม/กม.: 40%
-
รถยนต์ไฮบริด (HEV) ความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 ซีซี:
- ปล่อย CO₂ ไม่เกิน 100 กรัม/กม.: 10%
- ปล่อย CO₂ 101–150 กรัม/กม.: 20%
- ปล่อย CO₂ 151–200 กรัม/กม.: 25%
- ปล่อย CO₂ เกิน 200 กรัม/กม.: 30%
-
รถยนต์อีโคคาร์ (Eco Car):
- ปล่อย CO₂ ไม่เกิน 100 กรัม/กม. และใช้น้ำมัน E85 ได้: 12%
- ปล่อย CO₂ ไม่เกิน 100 กรัม/กม.: 14%
- ปล่อย CO₂ 101–120 กรัม/กม.: 17%
-
รถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก (PPV) ความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,250 ซีซี:
- ปล่อย CO₂ ไม่เกิน 200 กรัม/กม.: 25%
- ปล่อย CO₂ เกิน 200 กรัม/กม.: 30%
-
รถยนต์กระบะ (Pick-up):
- ปล่อย CO₂ ไม่เกิน 200 กรัม/กม.: 3%
- ปล่อย CO₂ เกิน 200 กรัม/กม.: 5%