Advertisement

Advertisement

เปิดขายไทยราคา 559,000 – 599,000 บาท MG3 HYBRID+ ประหยัด 26.3 กม./ลิตร

เปิดขายไทยราคา 559,000 – 599,000 บาท MG3 HYBRID+ ประหยัด 26.3 กม./ลิตร
Spread the love

Advertisement

Advertisement

METAL ASH GREY
SCARLET RED
BLACK KNIGHT
ST.MORITZ BLUE
ARCTIC WHITE
PASTEL YELLOW

 

 

 

All New MG3 Hybrid+ เปิดตัวในไทย 20 สิงหาคมนี้ ราคาจำหน่าย

  • รุ่น D : 559,000 บาท
  • รุ่น X : 599,000 บาท

* ราคาพิเศษช่วงเปิดตัว เฉพาะ 1,000 คันแรก จากนั้นจะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 579,900 – 619,900 บาท

มาพร้อมการรับประกันคุณภาพตัวรถ ดังนี้

  • รับประกันคุณภาพตัวรถ Warranty นาน 5 ปี / 120,000 km.
  • รับประกันแบตเตอรี่ไฮบริด นาน 10 ปี ไม่จำกัดระยะทาง
  • บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน Roadside Assistance ตลอด 24 ชั่วโมง

HYBRID+ ในแบบฉบับของ เอ็มจี ที่ทำงานได้อย่างลงตัวในทุกช่วงความเร็ว

หลังจากที่ ALL NEW MG3 HYBRID+ ทยอยเปิดตัวอย่างเป็นทางการทั้งในประเทศอังกฤษ และประเทศชั้นนำในยุโรป รวมไปถึงทวีปอเมริกาอย่างประเทศเม็กซิโก ก่อนข้ามมาสร้างปรากฏการณ์อีกซีกโลก ทั้งในออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย และฟิลิปปินส์ ต่างได้รับเสียงตอบรับจากสื่อและผู้ใช้งานถึงความโดดเด่นในเรื่องการเป็นยนตรกรรมที่มอบประสิทธิภาพในการขับขี่ได้อย่างดีเยี่ยม เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการความสมดุลระหว่างสมรรถนะและความประหยัด โดยหนึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้รถรุ่นนี้เป็นที่น่าสนใจในกลุ่ม B-Segment คือ ระบบ HYBRID+ ที่เหนือกว่าด้วยสมรรถนะอันทรงพลังและการบริหารพลังงานในแบบฉบับรถไฟฟ้าจากมอเตอร์ขับเคลื่อนให้กำลังสูงสุด 136 แรงม้า 250 นิวตัน-เมตร และมอเตอร์ที่ใช้สร้างกระแสไฟได้สูงสุด 45 กิโลวัตต์ ผสานความแรงของเครื่องยนต์ 1.5 ลิตรที่พัฒนาขึ้นใหม่จาก SAIC MOTOR CORPORATION ให้แรงม้าสูงสุด 102 แรงม้า รองรับน้ำมัน E20 รวมแรงม้าสูงสุด 194 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตัน-เมตร ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ไฟฟ้า EDU 3 ระดับ มาพร้อมแบตเตอรี่ Lithium-Ion ความจุ 1.83 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง สู่การเป็นโมเดลไฮบริดใหม่ที่ครบสมบูรณ์แบบด้วยความเหนือชั้นของ 8 โหมดขับเคลื่อน ที่รวมทุกระบบไฮบริดไว้ได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็น ระบบขับเคลื่อนแบบอนุกรม (Series Hybrid) ระบบขับเคลื่อนแบบผสานเครื่องยนต์ และมอเตอร์ (Parallel Hybrid) หรือแม้แต่การขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน (Pure EV) โดยสามารถปรับเปลี่ยนการทำงานได้อย่างราบรื่นและเหมาะสมที่สุดในแต่ละช่วงความเร็ว

เจาะลึก 8 โหมดขับเคลื่อนของ ALL NEW MG3 HYBRID+ จากจุดหยุดนิ่งไปจนถึงวิ่งแบบเต็มพลัง

  • โหมดจอดหยุดนิ่ง

ระบบจะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่แรงเคลื่อนสูง (HV BATTERY) เพื่อทำให้ระบบปรับอากาศและระบบอื่นๆ ทำงานได้โดยที่เครื่องยนต์หยุดการทำงาน

  • โหมดวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนจนถึง 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

เมื่อออกตัวจากจุดหยุดนิ่งในช่วงความเร็ว 0 – 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รถจะขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วน (Pure EV) ให้ความรู้สึกนุ่มนวลและเงียบเหมือนรถไฟฟ้า พร้อมอัตราเร่งที่ตอบสนองได้ทันใจ

  • โหมดความเร็วที่วิ่งในถนนที่มีการจราจรหนาแน่น 

เมื่อความเร็วเพิ่มขึ้นเป็น 30 – 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นช่วงความเร็วต่ำ ใช้งานในเมือง ระบบจะสลับไปยังโหมดระบบขับเคลื่อนแบบอนุกรม (Series Hybrid) โดยเครื่องยนต์จะทำหน้าที่แค่เพียงปั่นไฟ และส่งกระแสไฟไปให้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนตัวรถ ทำให้ได้ความรู้สึกนุ่มนวล ตอบสนองฉับไวแบบรถไฟฟ้า และรถมีความคล่องตัวมากขึ้น

  • โหมดความเร็ววิ่งในเมือง

แต่หากความเร็วไต่ระดับไปที่ 50 – 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งมักจะเป็นช่วงสำหรับใช้งานเดินทางออกนอกเมืองด้วยความเร็วปานกลาง โหมดระบบขับเคลื่อนแบบอนุกรม (Series Hybrid) จะยังช่วยให้ผู้ขับขี่สัมผัสได้ถึงแรงบิดสูงอย่างต่อเนื่อง เพราะเครื่องยนต์ยังทำหน้าที่เป็นตัวปั่นไฟช่วยให้มอเตอร์ขับเคลื่อนล้อโดยตรงได้แบบรถไฟฟ้า พร้อมส่งกระแสไฟส่วนเกินไปเก็บยังแบตเตอรี่แรงเคลื่อนสูง ไฟส่วนเกินไปเก่วนน่น

  • โหมดความเร็ววิ่งคงที่

เมื่อวิ่งด้วยความเร็วคงที่ในช่วงความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นช่วงการขับขี่ระยะไกล ระบบจะสลับเป็นการใช้งานเครื่องยนต์ที่รอบความเร็วต่ำโดยใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวเครื่องยนต์จะตัดต่อการทำงานผ่าน Hybrid Transmission มี 3 อัตราทดแบบอัตโนมัติ มาขับเคลื่อนที่ตัวล้อโดยตรง ทำให้สามารถประหยัดน้ำมันได้มากกว่ารถแบบ Series Hybrid ทั่วไป ที่เครื่องยนต์ทำหน้าที่เพียงปั่นไฟอย่างเดียวตลอดเวลา

  • โหมดวิ่งทางไกล และเร่งแซง

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อรถอยู่ในช่วงเร่งความเร็ว 80 – 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นช่วงขับขี่ทางไกล หรือขึ้นทางลาดชัน เมื่อต้องการเร่งแซง เพียงแค่กดคันเร่งเบาๆ ทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฮบริดกำลังสูงจะทำงานร่วมกัน (Parallel Hybrid) ให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสกับอัตราเร่งที่ตอบสนองได้ในทันที เมื่อต้องการเร่งแซงหรือขึ้นทางชัน รถจะสามารถให้อัตราเร่งสูงสุดและตอบสนองการขับขี่ได้อย่างดี เหนือกว่ารถไฮบริดทั่วไป

  • โหมดความเร็วสูง

และเมื่อใช้ความเร็วสูงกับการขับทางไกลบนไฮเวย์ที่ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เครื่องยนต์จะทำงานอย่างต่อเนื่อง โดยขณะที่รถขับเคลื่อนไป ระบบจะแบ่งกำลังส่วนที่เหลือจากเครื่องยนต์ไปหมุนเจนเนเรเตอร์ เพื่อปั่นไฟไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่

  • โหมดลดความเร็ว Regenerative

เมื่อผ่อนคันเร่งลดความเร็วลงมาในช่วง 120-0 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือช่วงขับขี่ลงทางชัน ระบบ HYBRID+ จะใช้มอเตอร์เป็นตัวหน่วงกำลัง ซึ่งจะทำหน้าที่ชาร์จไฟเป็นระบบ Energy Regeneration 3 ระดับ ซึ่งผู้ขับขี่สามารถตั้งค่าระดับการรีเจนได้แบบรถไฟฟ้า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้สูงสุด

ทั้งหมดนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความโดดเด่นและแตกต่างของระบบ HYBRID+ กับการผสานพลังอย่างลงตัวของเครื่องยนต์ที่พัฒนาให้มีประสิทธิภาพในการทำงานกับระบบไฮบริดเพิ่มมากขึ้น พร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ และระบบ Hybrid Transmission ที่มี 3 อัตราทด ปรับทำงานอัตโนมัติช่วยให้เครื่องยนต์ที่ทำงานร่วมกับระบบไฮบริดมอเตอร์มีช่วงการทำงานที่กว้างมากขึ้น ตอบสนองการเร่งในช่วงความเร็วต่างๆ ได้ดีขึ้น โดยมีรอบการทำงานของเครื่องยนต์ที่ลดลง ที่สำคัญ ALL NEW MG3 HYBRID+ ยังใช้ไฮบริดมอเตอร์ เป็นเทคโนโลยีมอเตอร์ตัวเดียวกับรถไฟฟ้าแบบ High-performance Permanent Magnet Synchronous Motors อีกด้วย

และนี่คือ ระบบ HYBRID+ นวัตกรรมยานยนต์สู่การเป็น Green Mobility ที่พัฒนาโดย SAIC MOTOR CORPORATION ที่ทำให้ ALL NEW MG3 HYBRID+ เป็นยนตรกรรมไฮบริดครั้งใหม่ เพื่อยกระดับมาตรฐานรถยนต์ไฮบริด กับสมรรถนะที่ทำให้ผู้ขับขี่ได้รับความสนุก ครบเครื่อง และคุ้มค่ากว่าที่เคย เตรียมพบกับ ALL NEW MG3 HYBRID+ 

เครื่องยนต์เบนซินไฮบริด+ 1.5 ลิตร

  • เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ Atkinson Cycle ขนาด 1.5 ลิตร
  • ระบบส่งกำลัง HYBRID +
  • เครื่องยนต์ให้กำลัง 102 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที
    • แรงบิด 128 นิวตัน-เมตร ที่ 4,500 รอบต่อนาที
  • มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลัง 136 แรงม้า
    • แรงบิด 250 นิวตัน-เมตร
  • เครื่องยนต์ + มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังรวม 194 แรงม้า
  • แรงบิดสูงสุดทั้งระบบ 250 นิวตัน-เมตร
  • ส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ E-AT 3 สปีต
  • ความจุของแบตเตอรี่ 1.83kWh – 350V
  • ระบบขับเคลื่อน FWD
  • ความเร็วสูงสุด 170 กม./ชม.
  • อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 8 วินาที
  • อัตราเร่ง 80 – 120 กม./ชม. ภายใน 5 วินาที
  • อัตราประหยัดน้ำมัน 26.2 กม./ลิตร
  • ปล่อย CO2 อยู่ที่ 100 กรัม/กม.
  • 3 โหมดการขับขี่ Eco, Standard และ Sport
  • โหมดรีไซเคิลพลังงาน (KERS)
  • สามารถวิ่งได้ 970 กม./ถังน้ำมัน

ช่วงล่าง

  • แร็คแอนด์พิเนียน ควบคุมด้วยไฟฟ้า (EPS)
  • รัศมีวงเลี้ยว 5.25 เมตร
  • ระบบกันสะเทือนหน้า อิสระแมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง
  • ระบบกันสะเทือนหลัง ทอร์ชันบีม
  • ดิสก์เบรกหน้า พร้อมช่องระบายความร้อน
  • ดิสก์เบรกหลัง
  • ล้ออัลลอย 16 นิ้ว 195 / 55R16

ขนาดตัวถัง

  • ความยาว 4,113 มม.
  • ความกว้าง 1,797 มม.
  • ความสูง 1,502 มม.
  • ระยะฐานล้อ 2,570 มม.
  • ระยะห่างพื้น 117 มม.
  • น้ำหนัก 1,285 กก.
  • ความจุสัมภาระท้ายรถ 293 ลิตร
  • จำนวนที่นั่ง 5 ที่นั่ง
  • ขนาดถังน้ำมัน 36 ลิตร

ภาพรวมของ MG3

  • ระบบส่งกำลังไฮบริดขั้นสูงให้ความประหยัด พร้อมสมรรถนะที่ดีเยี่ยม
  • รถยนต์แฮทช์แบ็ก B-segment ไฮบริดที่เร่งความเร็วได้เร็วที่สุดมอบคุณประโยชน์ด้านประสิทธิภาพในโลกแห่งความเป็นจริง
  • ความจุของแบตเตอรี่ที่ใหญ่กว่าคู่แข่งช่วยให้ไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้นานขึ้น
  • ระบบไฮบริดอเนกประสงค์มีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแยกต่างหาก ทำให้สามารถใช้งานโหมดไฮบริดได้หลายโหมด
  • ระดับการตัดแต่งที่หลากหลายช่วยให้ลูกค้ามีตัวเลือกและความคุ้มค่าที่โดดเด่น
  • ภายในแบบหน้าจอคู่ช่วยเพิ่มความรู้สึกระดับพรีเมียมใน MG3
  • MG iSMART และ MG Pilot มอบการเชื่อมต่อและเพิ่มความปลอดภัย
  • มิติใหม่ที่ใหญ่ขึ้นรวมถึงพื้นที่ผู้โดยสารและพื้นที่บรรทุกที่เพิ่มขึ้น

รุ่น D

ภายนอก

  • ไฟหน้าแบบ LED
  • ระบบควบคุมการเปิด – ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ
  • กระจกมองข้างพับ และปรับไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยว
  • ไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่เวลากลางวัน (Daytime Running Lights)
  • ไฟตัดหมอกหลัง
  • ไฟท้าย และไฟเบรกดวงที่สาม
  • ระบบไล่ฝ้ากระจกหลัง
  • ระบบปัดน้ำฝนด้านหน้า แบบตั้งเวลาหน่วง
  • ระบบปัดน้ำฝนด้านหลัง

การออกแบบภายใน

  • ภายในสีดำ หนังสังเคราะห์ตกแต่งด้วยผ้า
  • เบาะหนังสังเคราะห์
  • เบาะนั่งคนขับปรับ 6 ทิศทาง เบาะผู้โดยสารตอนหน้า 4 ทิศทาง
  • ที่พักแขนด้านหน้า
  • เบาะนั่งด้านหลัง พนักพิงพับได้ 60:40
  • หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิทัลขนาด 7 นิ้ว (Digital Multi-function Display)
  • กระจกไฟฟ้า One Touch Up – Down ด้านผู้ขับขี่
  • ระบบปรับอากาศแบบดิจิทัล พร้อมกรองอากาศ PM 2.5
  • ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
  • ระบบกุญแจรีโมทอัจฉริยะ (Smart Key) พร้อม Push Start
  • พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน ควบคุมเครื่องเสียงพร้อมปุ่มรับ – วางสายโทรศัพท์
  • จำนวนลำโพง 6 ตำแหน่ง
  • หน้าจอสีระบบสัมผัสขนาด 10 นิ้ว
  • ระบบเชื่อมต่อมัลติมีเดีย Apple CarPlay / Android Auto แบบไร้สาย

ระบบความปลอดภัย

  • ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB และระบบ Auto Vehicle Hold
  • ระบบป้องกันล้อล็อก ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD
  • ระบบเสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist)
  • ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้งด้วยความเร็ว XDS (Electronic Differential System)
  • ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System)
  • ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System)
  • ระบบสัญญาณไฟแจ้งเตือนเมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal)
  • ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System)
  • ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์ (Follow Me Home Light)
  • จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX
  • ระบบล็อกประตูอัตโนมัติ (Speed Sensing Door Lock)
  • ถุงลมนิรภัยคู่หน้า และด้านข้าง
  • ม่านถุงลมนิรภัย
  • กล้องมองภาพ กล้องมองภาพด้านหลัง
  • สัญญาณเตือนระยะถอยหลัง
  • ระบบกุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer

รุ่น X เพิ่มเติม

  • ระบบปัดน้ำฝนด้านหน้าแบบอัตโนมัติ
  • ภายใน 2-tone สีขาว – ดำ หนังสังเคราะห์ตกแต่งด้วยผ้า
  • พวงมาลัยหุ้มหนัง
  • อุปกรณ์ชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย (Wireless Charger)
  • ระบบเปิด – ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-beam Control)
  • ระบบช่วยเตือนการชน FCW และระบบช่วยเบรก AEB
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control)
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist)
  • ระบบช่วยควบคุมรถยนต์ให้ขับเคลื่อนอยู่ในเลน (LKA / LDP / LDW)
  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน และช่วยควบคุมรถเมื่อออกนอกเลน ELK (Emergency Lane Keeping Assist)
  • กล้อง 360 องศามุมมอง 3D

Advertisement

Advertisement

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหาของหน้านี้ได้