1. การพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าล้วน (BEV)
- เทคโนโลยีแบตเตอรี่ใบมีดรุ่นที่ 2 (Second-generation Blade Battery) จะเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนา:
- ความหนาแน่นพลังงานเพิ่มขึ้น 35% โดยคาดว่าจะมีความหนาแน่นพลังงานถึง 190 Wh/kg ซึ่งช่วยเพิ่มระยะการขับขี่ของรถยนต์ไฟฟ้าให้ใกล้เคียง 1,000 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ในบางรุ่น
- ใช้ อิเล็กโทรไลต์ใหม่ ลดความต้านทานภายในของแบตเตอรี่ และมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นในสภาพอากาศเย็น
- รองรับ การชาร์จเร็วพิเศษ ด้วยอัตราการชาร์จที่สูงกว่า 5.5C ทำให้มีความเร็วในการชาร์จที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรม
- ระบบ การจัดการความร้อนที่ดีขึ้น เพิ่มความปลอดภัยของแบตเตอรี่ และยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่
- การออกแบบโครงสร้างแบตเตอรี่ใหม่ ช่วยลดขนาดแบตเตอรี่และเพิ่มพื้นที่ใช้สอยของรถยนต์
2. การพัฒนารถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV)
- จะมีการเปิดตัว แบตเตอรี่ใบมีดรุ่นที่ 2 ที่ออกแบบมาสำหรับรถยนต์ไฮบริดโดยเฉพาะ ช่วยเพิ่มระยะทางการขับขี่ในโหมดไฟฟ้า (EV Mode)
3. การยกระดับเทคโนโลยีอัจฉริยะ (Smart Driving)
- เพิ่มขีดความสามารถด้านระบบขับขี่อัจฉริยะในรถยนต์ทุกระดับราคา:
- รถราคาประหยัด เช่น BYD Seagull ก็จะติดตั้งระบบขับขี่อัจฉริยะ
- ใช้กลยุทธ์ พัฒนาร่วมกันระหว่างเทคโนโลยีภายในและความร่วมมือภายนอก:
- BYD พัฒนาระบบขับขี่อัจฉริยะเอง เช่น “ตาเทพ” (God’s Eye) ซึ่งใช้ในรถยนต์ Denza สำหรับการนำทางในเมือง
- ร่วมมือกับ Huawei และ Momenta ในการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น Huawei ADS 3.0 ในรถยนต์ Fangcheng Leopard 8
- มีแผนลงทุน 1 แสนล้านหยวน ในการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบการขับขี่อัตโนมัติ เช่น:
- ระบบ NOA (Navigation on Autopilot) ที่ไม่พึ่งพาแผนที่
- โครงสร้างโมเดลปัญญาประดิษฐ์แบบครบวงจร (End-to-end large model)
- ตั้งเป้าให้ 60% ของรถยนต์รุ่นใหม่ในปี 2025 มีฟังก์ชัน NOA สำหรับการนำทางความเร็วสูง
4. AI และเทคโนโลยีแบบหลายโหมด
- BYD จะนำ AI และโมเดลปัญญาประดิษฐ์แบบหลายโหมดมาใช้ในระบบช่วยเหลือการขับขี่ เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ดียิ่งขึ้น
5. ศักยภาพการวิจัยและพัฒนา (R&D)
- BYD มีพนักงานทั้งหมดกว่า 900,000 คน โดยในจำนวนนี้เป็นนักพัฒนากว่า 110,000 คน
- ในช่วง 2 ปีครึ่งที่ผ่านมา ได้ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีใหม่เพิ่มอีก 60,000 คน เพื่อเร่งการพัฒนาและนวัตกรรม
6. การขยายตลาดและการเข้าถึงของเทคโนโลยี
- นอกจากการพัฒนารถยนต์ระดับพรีเมียม BYD ยังให้ความสำคัญกับการทำให้เทคโนโลยีอัจฉริยะเข้าถึงได้ง่ายในรถยนต์ทุกระดับราคา เพื่อให้ผู้บริโภคทุกกลุ่มสามารถสัมผัสกับนวัตกรรมที่ทันสมัย
BYD วางตำแหน่งตัวเองเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยใช้กลยุทธ์ที่เน้นการพัฒนานวัตกรรมแบตเตอรี่ ปัญญาประดิษฐ์ ระบบขับขี่อัจฉริยะ และการวิจัยอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของผลิตภัณฑ์ทั้งในด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย ทั้งหมดนี้เพื่อยกระดับประสบการณ์การขับขี่ของผู้บริโภค และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดโลก
God’s Eye Intelligent Driving System
God’s Eye Intelligent Driving System เป็นระบบช่วยการขับขี่อัจฉริยะที่ BYD พัฒนาขึ้นมาใหม่ โดยมีจุดเด่นในการใช้เทคโนโลยีเซ็นเซอร์และ AI ขั้นสูง เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการขับขี่ ระบบนี้ประกอบด้วยฟีเจอร์สำคัญดังนี้:
1. Multi-Sensor Fusion Technology
- ใช้กล้องความละเอียดสูง, LiDAR, เรดาร์คลื่นมิลลิเมตร และอัลตราโซนิกในการตรวจจับสิ่งแวดล้อมรอบรถแบบ 360 องศา
- ช่วยในการสร้างแบบจำลองเสมือนจริงรอบตัวรถแบบเรียลไทม์
2. Automated Driving Assistance
- ระบบขับขี่อัตโนมัติระดับสูง (High-Level Autonomous Driving) ที่สามารถทำงานได้ในหลากหลายสภาพถนน
- รองรับการเปลี่ยนเลนอัตโนมัติ (Automatic Lane Change) และระบบจอดรถอัตโนมัติ (Automated Parking Assistance)
3. Intelligent Navigation System
- ระบบนำทางอัจฉริยะที่เชื่อมต่อกับข้อมูลจราจรแบบเรียลไทม์
- การใช้ข้อมูลแบบ High-Definition Maps เพื่อช่วยในระบบขับขี่อัตโนมัติ
4. Safety Enhancement Features
- ระบบตรวจจับคนเดินถนน, ยานพาหนะ และสิ่งกีดขวางในระยะไกล
- ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (Automatic Emergency Braking) แบบล่วงหน้า
- การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ขับขี่ (Driver Monitoring System)
5. Smart Interaction System
- ใช้ AI เพื่อปรับการตอบสนองของรถให้เหมาะสมกับพฤติกรรมของผู้ขับขี่
- รองรับคำสั่งเสียงและการควบคุมผ่านแอปพลิเคชัน
6. Cloud-Connected Learning
- ระบบเรียนรู้และอัปเดตข้อมูลผ่านคลาวด์ เพื่อปรับปรุงสมรรถนะอย่างต่อเนื่อง
- การส่งข้อมูลระหว่างรถในเครือข่ายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการขับขี่อัตโนมัติ