BYD เปิดตัวเทคโนโลยี DM-p ปลั๊กอินไฮบริด รุ่นที่ 5 แยกล้ออิสระเต็มช่วงความเร็ว

BYD เปิดตัวเทคโนโลยี DM-p ปลั๊กอินไฮบริด รุ่นที่ 5 แยกล้ออิสระเต็มช่วงความเร็ว
Spread the love

Advertisement

Advertisement

BYD เปิดตัวเทคโนโลยีไฮบริดรุ่นที่ 5 “DM-p” อย่างเป็นทางการในงานเปิดตัว Han L และ Tang L โดดเด่นด้วยเครื่องยนต์ 1.5T ปลั๊กอินไฮบริด และ “เทคโนโลยีแยกล้ออิสระเต็มช่วงความเร็ว” ครั้งแรกของโลก

  • BYD DM-p เป็นระบบปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ที่พัฒนาโดยบริษัท BYD ซึ่งมุ่งเน้นที่การเพิ่มสมรรถนะการขับขี่ คำว่า “DM” ย่อมาจาก “Dual Mode” หมายถึงโหมดการทำงานสองรูปแบบ ส่วน “p” ใน DM-p ย่อมาจาก “powerful” ซึ่งเน้นความทรงพลังของระบบ

BYD ประกาศเปิดตัว เทคโนโลยีไฮบริด DM-p เจเนอเรชันที่ 5 ซึ่งมาพร้อมกับ:

  • เครื่องยนต์ 1.5T ที่ออกแบบพิเศษสำหรับปลั๊กอินไฮบริด

  • แบตเตอรี่ใบมีด (Blade Battery)

  • ชุดขับเคลื่อนหลังแบบรวมสามระบบ (Three-in-One Rear Drive Assembly)

  • รองรับการขับเคลื่อนสองล้อและสี่ล้อแบบสลับได้ตามต้องการ

ไฮไลต์ของเทคโนโลยี DM-p เจเนอเรชันที่ 5:

  • ครั้งแรกของโลกกับ “เทคโนโลยีแยกล้ออิสระเต็มช่วงความเร็ว (Full-Speed Wheel-End Decoupling)”
    ช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันลงได้ถึง 0.5–0.8 ลิตรต่อ 100 กม.

  • เครื่องยนต์ 1.5T รุ่นใหม่สำหรับระบบปลั๊กอินไฮบริด

    • ประสิทธิภาพความร้อนสูงถึง 45.3%

    • กำลังสูงสุด 156 แรงม้า

    • แรงบิดสูงสุด 225 นิวตัน-เมตร

ประสิทธิภาพของรถรุ่นใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีนี้:

  • BYD Han L

    • 0-100 กม./ชม. ภายใน 3.9 วินาที

    • อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันในโหมดไฟฟ้าหมด (NEDC) เพียง 4.6 ลิตร / 100 กม. 21.7 กม./ลิตร

    • ระยะทางขับขี่รวม (น้ำมัน + ไฟฟ้า) สูงสุดถึง 1200 กม.

  • BYD Tang L

    • 0-100 กม./ชม. ภายใน 4.3 วินาที

    • อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันในโหมดไฟฟ้าหมด (NEDC) เพียง 5.6 ลิตร / 100 กม. 17.8 กม./ลิตร

    • ระยะทางขับขี่รวมสูงสุดถึง 1270 กม.

ระบบ AI บริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะ

  • ช่วยประหยัดเชื้อเพลิงในสถานการณ์ขับขี่ต่าง ๆ เช่น:

    • ประหยัดได้ 12% ในการขับขี่ในเมือง/ระยะสั้น

    • ประหยัดได้ 18% เมื่อขับขี่ตามเส้นทางที่ใช้ระบบนำทาง (Navigation)

ระบบอัจฉริยะอื่น ๆ ที่เพิ่มเข้ามาในรุ่นใหม่นี้:

  • ระบบรับรู้ภูมิประเทศอัจฉริยะ (Intelligent Terrain Recognition) ช่วยให้รถปรับโหมดการควบคุมได้ตามลักษณะของพื้นที่ขับขี่โดยอัตโนมัติ

  • อัลกอริทึมแรงบิดแบบติดตามสถานการณ์ (Dynamic Torque Tracking Algorithm) ปรับปรุงความเรียบเนียนของการขับขี่ เพิ่มความต่อเนื่องในการชะลอและเร่งความเร็ว ให้การขับขี่ “ลื่นไหลกว่าเดิม”

ITHOME

Advertisement

Advertisement

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหาของหน้านี้ได้