จีนขึ้นภาษีนำเข้า 125% ประกาศตัดขาด! สหรัฐฯ จะขายของในจีนไม่ได้อีกต่อไป

จีนขึ้นภาษีนำเข้า 125% ประกาศตัดขาด! สหรัฐฯ จะขายของในจีนไม่ได้อีกต่อไป
Spread the love

Advertisement

Advertisement

สรุปสถานการณ์แบบเข้าใจง่าย:

  • จีน ประกาศ ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ จาก 84% → 125% เริ่ม 12 เม.ย. 2025

  • เพื่อโต้กลับ สหรัฐฯ ที่เพิ่ง งัดภาษีสินค้าจีนขึ้นเป็น 145%

  • กระทรวงการคลังจีน บอกชัดเจนแบบไม่ไว้หน้า:
    “ไม่สน ไม่แคร์ และไม่ยอมรับการขึ้นภาษีจากสหรัฐฯอีกต่อไปแล้ว”

  • เหตุผล: “ยังไงก็ขายไม่ได้ในจีนอยู่ดี ถ้าภาษียังสูงขนาดนี้”

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น:

  • สินค้าอเมริกันในจีน เช่น รถยนต์, เครื่องใช้ไฟฟ้า, สินค้าเกษตร ฯลฯ อาจ ขายไม่ออก

  • ตลาดโลกตึงเครียด นักลงทุนและบริษัทข้ามชาติ อาจหันไปจับตามองตลาดใหม่

  • อุตสาหกรรม EV และเทคโนโลยี เสี่ยงถูกลูกหลง เพราะเป็นด่านหน้าในเกมการค้า

ประโยคที่จีนพูดแล้วเจ็บจี๊ด:

“ไม่มีโอกาสที่สินค้าสหรัฐฯ จะได้รับการยอมรับจากตลาดจีนอีกต่อไป ภายใต้อัตราภาษีเช่นนี้”

นี่ไม่ใช่แค่ขึ้นภาษี — แต่มันคือการ “สะบัดบ๊ายบาย” กันอย่างเป็นทางการ!

เหตุการณ์ล่าสุด: “ภาษีต่อภาษี เดือดระดับดุเดือด”

  • สหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีสินค้าจีนรอบใหม่อีก 20% → รวมเป็น 145%

  • จีนโต้ทันที ขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ จาก 84% → 125%

  • จีนประกาศชัด “ไม่แคร์ ไม่สน ไม่เล่นด้วยอีกต่อไป”


วิเคราะห์เชิงกลยุทธ์

1. นี่ไม่ใช่แค่การตอบโต้ แต่มันคือ “การแสดงพลัง”

  • จีน แสดงว่า ไม่ยอมเป็นฝ่ายถูกบีบอีกต่อไป โดยการขึ้นภาษีอย่างดุดัน

  • สหรัฐฯ โดยเฉพาะฝั่งทรัมป์ พยายามเอาชนะศึกการค้า ด้วยการ บีบการส่งออกจีน ให้ลดลงในตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่ม EV, แบตเตอรี่, ชิป

สรุปคือ “คนหนึ่งพยายามปิดประตู อีกคนตัดสินใจโยนกุญแจทิ้ง”


2. EV คือหมากตัวสำคัญ

  • จีนคือผู้นำตลาด EV ของโลก และแบรนด์จีนเริ่มตีตลาดยุโรป-อเมริกา

  • สหรัฐฯ กลัวว่าภายใน 5 ปี จีนจะ ครองตลาด EV ในราคาถูกกว่า เทคโนโลยีล้ำกว่า

  • การขึ้นภาษีแบบนี้ทำให้แบรนด์อย่าง BYD, XPeng, Geely ต้อง “ชะลอ” หรือ “เปลี่ยนเป้าหมาย” จากตลาดสหรัฐฯ ไปยัง ยุโรป เอเชีย และตะวันออกกลาง


3. ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์โลก

กลุ่ม ผลกระทบ
EV จีน เน้นส่งออกในตลาด “ที่ไม่ใช่สหรัฐฯ” มากขึ้น เช่น ไทย, อาเซียน, อเมริกาใต้
ผู้บริโภคในจีน สินค้าสหรัฐฯ อย่าง Tesla, Apple, อาหารนำเข้า อาจแพงขึ้น 30–50%
บริษัทอเมริกันในจีน เช่น GM, Ford, Apple อาจเจอแรงกดดันทางนโยบายมากขึ้น
คู่ค้าไทย/อาเซียน โอกาสโตในตลาดจีนมากขึ้น เพราะ จีนอาจหันมา “เพื่อนบ้าน” แทนสหรัฐฯ

4. เกมการเมืองระหว่างประเทศที่ซ่อนอยู่

  • การเลือกตั้งสหรัฐฯ ปี 2024 ทรัมป์/รีพับลิกันกลับมาแข็งกร้าวกับจีน

  • จีนไม่ยอมเล่นตามเกมเดิมอีกต่อไป การขึ้นภาษีรอบนี้คือ การวางหมากแบบไร้ทางถอย

  • ยุโรป อาจกลายเป็นสนามประลองต่อไป หากโดนแรงกดดันจากทั้งสองฝั่ง

 บทสรุป: นี่ไม่ใช่ “สงครามการค้า” ธรรมดา แต่มันคือ “ศึกยุทธศาสตร์อนาคต”

  • จีนกับสหรัฐฯ กำลังสู้กันเพื่อแย่ง “บทบาทผู้นำโลก” ในอุตสาหกรรมยุคใหม่ ทั้ง AI, EV, Clean Energy

  • ใครแพ้ = ถูกกลืนในโลกเศรษฐกิจยุคใ

ที่มา : www.bloomberg.com/news/articles/2025-04-11/china-raises-tariffs-on-us-goods-to-125-in-retaliation

วันที่ 11 เมษายน 2025 ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนเป็น 145% เพื่อตอบโต้ภาษี 84% จากจีน

ตัวเลขภาษีใหม่นี้ ถูกเผยแพร่ในบันทึกของทำเนียบขาว โดยเป็นการเพิ่มขึ้นจากภาษี 20% ที่สหรัฐฯ ได้ประกาศใช้เมื่อต้นปีนี้ ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อลงโทษจีนจากบทบาทในการลักลอบส่งเฟนทานิล

เมื่อวันพฤหัสบดี ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเป็น 145% หลังจากที่จีนได้ตอบโต้ด้วยการเก็บภาษี 84% จากสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ตามรายงานของ Bloomberg

ทรัมป์กล่าวเมื่อวันพุธก่อนหน้านั้นว่า เขาจะขึ้นภาษี 125% กับสินค้าจีนทั้งหมด เพื่อแก้ปัญหาการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ และตอบโต้การตอบโต้จากจีนที่เขามองว่า “ไม่ยุติธรรม”

สรุปภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ ใช้ในปัจจุบัน

  • 145% ภาษีสำหรับสินค้าทุกชนิดที่นำเข้าจากจีน

  • 25% สำหรับอลูมิเนียม รถยนต์ และสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก ที่ไม่อยู่ภายใต้ข้อตกลง USMCA

  • 10% สำหรับสินค้านำเข้าทั่วไปจากประเทศอื่น

ทรัมป์กล่าวถึง “ปัญหาระหว่างเปลี่ยนผ่าน”

แม้จะยอมรับว่าอาจมี “ปัญหาในช่วงเปลี่ยนผ่าน” ทรัมป์ยังมั่นใจในแผนของตน โดยกล่าวระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันพฤหัสบดีว่า

“มันจะมีต้นทุนในช่วงเปลี่ยนผ่าน มีปัญหาระหว่างเปลี่ยนผ่านแน่นอน แต่สุดท้ายแล้ว มันจะเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม”
“เรากำลังอยู่ในสถานะที่แข็งแกร่งมาก”

ก่อนหน้านี้หนึ่งวัน ทรัมป์ได้ประกาศ “พักการเก็บภาษีชั่วคราว 90 วัน” สำหรับประเทศส่วนใหญ่ แต่เพิ่มอัตราภาษีจีนเป็น 125% ทันที

จีนนำเข้าอะไรจากสหรัฐฯ ?

ในปี 2024 จีนได้สั่งซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ มูลค่าประมาณ 143.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสินค้าหลักที่นำเข้า ได้แก่

  • เครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า: มูลค่า 15.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะวงจรรวมและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
  • น้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ: มูลค่า 14.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • ถั่วเหลือง: มูลค่า 12.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้จีนเป็นตลาดหลักสำหรับการส่งออกถั่วเหลืองของสหรัฐฯ
  • ยานยนต์: มูลค่า 10.55 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • ผลิตภัณฑ์เภสัชกรรม: มูลค่า 6.58 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

สหรัฐฯ นำเข้าอะไรจากจีน ?

​ในปี 2024 สหรัฐอเมริกานำเข้าสินค้าจากจีนมูลค่าประมาณ 438.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสินค้าหลักที่นำเข้า ได้แก่:​

  • โทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์สื่อสาร: เช่น สมาร์ทโฟนและโทรศัพท์มือถือ มูลค่าประมาณ 4.41 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เสริม: รวมถึงแล็ปท็อปและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์อื่น ๆ มูลค่าประมาณ 3.88 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • แบตเตอรี่ไฟฟ้า: มูลค่าประมาณ 1.91 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • เสื้อผ้าและสิ่งทอ: สหรัฐฯ นำเข้าเสื้อผ้าและสิ่งทอจากจีนเป็นจำนวนมาก เนื่องจากการผลิตในประเทศลดลงอย่างมาก
  • ของเล่นและเกม: ของเล่นเด็กและเกมต่าง ๆ เป็นสินค้านำเข้าหลักจากจีน
  • เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์: เช่น โทรทัศน์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ

อย่างไรก็ตาม ในปี 2025 สหรัฐฯ ได้ประกาศเพิ่มภาษีศุลกากรสูงถึง 145% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสินค้าหลายประเภท รวมถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และของเล่น

อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนมีความผันผวน เนื่องจากการขึ้นภาษีศุลกากรและการตอบโต้ทางการค้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อการนำเข้าสินค้าบางประเภท เช่น ถั่วเหลือง

hindustantimes

วันที่ 10 เมษายน 2025 หุ้นวอลล์สตรีทพุ่งแรงทันที หลัง “ทรัมป์” ประกาศหยุดเก็บภาษีศุลกากร 90 วัน สำหรับทุกประเทศ ยกเว้นจีน

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเป็น 125% พร้อมประกาศ “พักเก็บภาษีตอบโต้” เป็นเวลา 90 วัน สำหรับประเทศอื่น ๆ ทั้งหมด ยกเว้นจีน ตามรายงานของ AFP

“เนื่องจากจีนไม่แสดงความเคารพต่อตลาดโลก ข้าพเจ้าจึงขอประกาศขึ้นภาษีสินค้าจากจีนที่นำเข้ามาสหรัฐอเมริกาเป็น 125% มีผลทันที” ทรัมป์เขียนผ่านโซเชียลมีเดีย Truth

ทรัมป์ระบุว่า มีมากกว่า 75 ประเทศร้องขอให้มีการเจรจาเกี่ยวกับภาษีดังกล่าว โดยเขายังได้ “อนุมัติให้หยุดการเก็บภาษีเป็นเวลา 90 วัน พร้อมลดอัตราภาษีตอบโต้ลงเหลือ 10% ชั่วคราว มีผลทันที”

หลังข่าวดังกล่าว หุ้นวอลล์สตรีทดีดกลับแรง โดยดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 6.0% แตะ 5,281.44 จุด พลิกฟื้นจากภาวะขาลงต่อเนื่อง นับตั้งแต่ทรัมป์ประกาศภาษีเมื่อ “วันปลดปล่อยทาส” (Emancipation Day) เมื่อสัปดาห์ก่อน

ทั้งนี้ ข่าวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากเมื่อวันที่ 9 เมษายน ทรัมป์เพิ่งขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนเป็น 104% และจีนก็ตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ เป็น 84%

สรุปเหตุการณ์ทั้งหมดแบบเข้าใจง่าย:

  • ก่อนหน้านี้ (9 เม.ย.)

    • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 104%
    • จีนโต้กลับทันควัน โดยขึ้นภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ เป็น 84%
    • สถานการณ์ตึงเครียด ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวน โดยเฉพาะวอลล์สตรีท
  • ล่าสุด (วันที่ประกาศข่าว)
    • ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน เพิ่มอีกเป็น 125% โดยให้เหตุผลว่า จีนไม่ให้ความเคารพต่อตลาดโลก
    • พร้อมกันนั้น ทรัมป์ประกาศ “พักเก็บภาษีตอบโต้” 90 วันสำหรับประเทศอื่นๆ (ยกเว้นจีน) โดยลดภาษีเหลือแค่ 10% ชั่วคราว
    • เขาระบุว่า มี กว่า 75 ประเทศร้องขอให้เจรจา ทำให้สหรัฐฯ ยอมผ่อนปรนเป็นกรณีพิเศษ
  • ผลกระทบในทันที
    • ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทพุ่งแรง โดย ดัชนี S&P 500 กระโดดขึ้น 6% แตะ 5,281.44 จุด
    • นักลงทุนมองว่าการผ่อนปรนภาษีชั่วคราวช่วยลดแรงกดดันจากสงครามการค้า แม้จีนยังโดนเต็มๆ

สาเหตุที่หุ้นวอลล์สตรีทพุ่งแรง หลังทรัมป์ประกาศนโยบายล่าสุด มีอยู่หลักๆ ดังนี้:

  • ตลาดคลายความกังวลเรื่องสงครามการค้า ก่อนหน้านี้ นักลงทุนวิตกกังวลอย่างหนักหลังจากทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีสินค้าจากหลายประเทศรวมถึงจีน ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อการค้าโลก ทำให้ตลาดหุ้นตกลงต่อเนื่อง แต่เมื่อทรัมป์ประกาศพักเก็บภาษีเป็นเวลา 90 วันสำหรับทุกประเทศยกเว้นจีน นักลงทุนมองว่าเป็นสัญญาณบวกที่ลดความเสี่ยงจากสงครามการค้าระดับโลก จึงเร่งกลับเข้ามาลงทุน
  • ตลาดรับรู้ว่าจีนเป็นเป้าหมายหลัก ไม่ใช่ทั้งโลก การที่ทรัมป์ยังคงขึ้นภาษีกับจีน แต่ผ่อนปรนให้ประเทศอื่น ทำให้นักลงทุนเข้าใจว่าสหรัฐฯ ต้องการเจรจาหรือกดดันเฉพาะจีน ไม่ได้เปิดฉากทำสงครามการค้ากับทุกประเทศ สิ่งนี้ช่วยให้ภาพรวมของการค้าระหว่างประเทศยังมีช่องทางเดินหน้าอยู่
  • แรงซื้อทางเทคนิคและการเก็งกำไร ก่อนหน้าข่าวนี้ ตลาดหุ้นอยู่ในช่วงขาลงต่อเนื่อง นักลงทุนจำนวนมากขายหุ้นไปก่อนหน้านี้ เมื่อข่าวดีออกมา จึงมีการกลับเข้าซื้อคืน ทั้งในเชิงเก็งกำไรและเพื่อดึงพอร์ตกลับมาในจังหวะที่ราคายังต่ำ
  • ความหวังต่อการเจรจาระหว่างประเทศ การที่ทรัมป์ระบุว่ามีมากกว่า 75 ประเทศขอเจรจาเกี่ยวกับภาษี เป็นสัญญาณที่ดีต่อตลาด เพราะหมายความว่าอาจมีการหาทางออกที่สร้างความมั่นคงมากขึ้นในระยะยาว นักลงทุนจึงมีความมั่นใจมากขึ้นในการลงทุน

bgnes

จีนประกาศ “ล็อกดาวน์แร่หายาก” 7 ชนิด! ใครจะทำรถ EV หรือรถน้ำมัน…ก็เตรียมจุกได้เลย

 

จีนประกาศ “ล็อกดาวน์แร่หายาก” 7 ชนิด! ใครจะทำรถ EV หรือรถน้ำมัน…ก็เตรียมจุกได้เลย

หลังจากอเมริกาเดินหน้าตั้งกำแพงภาษีใส่จีนและพันธมิตร จีนก็ไม่ขอนิ่งเฉย! ล่าสุดรัฐบาลจีนประกาศ “ห้ามส่งออก” แร่หายาก (Rare Earth Minerals) 7 ชนิดแบบไม่ไว้หน้าโลกเสรี บอกเลย…งานนี้ ไม่ว่าคุณจะขับรถไฟฟ้า หรือยังรักเสียงเครื่องยนต์ ก็โดนกันถ้วนหน้า

 แล้วแร่หายากพวกนี้มันสำคัญยังไง?

1. Samarium (ซาแมเรียม) ใช้ในแม่เหล็กถาวร, เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ และการรักษามะเร็ง ใครทำมอเตอร์ EV หรือระบบนำทางจรวด – พูดเลยว่า ขาด Samarium เหมือนขาดใจ

2. Gadolinium (แกโดลิเนียม) ใช้ในการถ่าย MRI, ป้องกันรังสี และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โรงพยาบาลและผู้ผลิตอุปกรณ์ไฮเทคคงเริ่มเครียดแล้วตอนนี้

3. Terbium (เทอร์เบียม) ใช้ในจอภาพ, LED, และการผลิตแม่เหล็ก ถ้าใครอยากผลิตหน้าจอหรือมอเตอร์ EV เจ๋งๆ ต้องรีบหาซัพพลายใหม่

4. Dysprosium (ดิสโพรเซียม) หัวใจของแม่เหล็กแรงสูงใน EV และกังหันลม มอเตอร์ EV ที่แรงและทน ต้องใช้เจ้านี่…จีนปิด ก็เหมือนปิดโรงงานครึ่งนึง

5. Lutetium (ลูทีเซียม) ใช้ในการรักษามะเร็ง, ภาพถ่ายทางการแพทย์ และ “Catalytic Converter” รถน้ำมันเงิบไปเลยครับ เพราะตัวกรองไอเสียต้องใช้ลูทีเซียม!

6. Scandium (สแกนเดียม) เพิ่มความแข็งแรงในอะลูมิเนียมสำหรับเครื่องบินและอุปกรณ์ไฮเทค อุตสาหกรรมการบินเริ่มเบรกตัวโก่ง

7. Yttrium (อิตเทรียม) ใช้ใน LED, เลเซอร์ และตัวนำยิ่งยวด พวกเลเซอร์ เครื่องมือแพทย์ หรืออาวุธล้ำๆ ขาดเจ้านี่ไม่ได้

วัสดุ การใช้งานในอุตสาหกรรมไฮเทค ศักยภาพการใช้งานในอนาคต
Scandium โมดูล RF ด้านหน้าในระบบ 5G, Wi-Fi ตัวเก็บพลังงาน, MEMS
Dysprosium หัวอ่าน HDD, แม่เหล็กถาวร, รถ EV, สมาร์ทโฟน การใช้งานหลากหลาย
Gadolinium กระบวนการ PVD, MRAM ไดอิเล็กทริกค่าคงที่สูงในทรานซิสเตอร์, MOSFET (อยู่ระหว่างการวิจัย)
Terbium ไฟ LED, การถ่ายภาพทางการแพทย์, เลเซอร์ ใช้งานได้เยอะมาก
Yttrium เลเซอร์ โดปสำหรับฮาฟเนียมในไดอิเล็กทริกทรานซิสเตอร์
Lutetium การถ่ายภาพทางการแพทย์ ไดอิเล็กทริกค่าคงที่สูงในทรานซิสเตอร์ (อยู่ระหว่างการวิจัย)
Samarium แม่เหล็ก, เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ การผลิตเซมิคอนดักเตอร์เฉพาะทาง

EV ในไทยโดนลูกหลงยังไง?

รถยนต์ EV ที่ขายในไทย ส่วนใหญ่นำเข้าจากจีน

  • BYD, NETA, MG, XPENG, GAC AION ฯลฯ ล้วนผลิตจากจีน หรือใช้ชิ้นส่วนที่มีฐานซัพพลายจากจีน ถ้าจีนห้ามส่งออกแร่ → แม่เหล็กมอเตอร์ผลิตยาก → รถขาดชิ้นส่วน → โรงงานจีนสะดุด ทำให้ รถส่งมาไทยล่าช้า ต้นทุนสูงขึ้น มีสิทธิ์ขึ้นราคา

EV ที่ประกอบในไทย ก็ยังใช้ชิ้นส่วนจากจีน

  • หลายโรงงานในไทย (เช่น BYD ที่ระยอง หรือ MG ที่ระยอง) ใช้ชิ้นส่วนสำคัญ เช่น มอเตอร์, แบตเตอรี่, อินเวอร์เตอร์ จากจีน มอเตอร์ EV ใช้แร่หายากในการผลิตแม่เหล็กถาวร เช่น Dysprosium, Terbium  ถ้าชิ้นส่วนขาด = การผลิตสะดุด หรือ “ต้องหาแหล่งอื่นที่แพงกว่า”

ราคา EV ในไทย อาจไม่ถูกลงอีกต่อไป

  • หลายคนหวังว่า EV จะถูกลงเรื่อย ๆ → แต่ถ้าวัตถุดิบต้นทางโดนล็อกแบบนี้… ➡️ รัฐบาลจีนห้ามส่งออกแร่หายาก = ซัพพลายลด ต้นทุนพุ่ง ➡️ ผู้ผลิตอาจผลักภาระมายังผู้บริโภค = EV ในไทยแพงขึ้น

อุตสาหกรรมไทยที่กำลังตั้งโรงงาน EV อาจต้องปรับแผน

  • ตอนนี้ไทยกำลังดึง ทุนต่างชาติ มาตั้งโรงงาน EV เพียบ แร่หายากกลายเป็น “วัตถุดิบล่อแหลม” ในสงครามการค้า นักลงทุนอาจเริ่มลังเล หรือวางแผนกระจายฐานการผลิตนอกจีน ไทยอาจโดนลูกหลงด้าน Supply Chain ความเสี่ยงสูงขึ้น

จีนล็อกแร่หายาก = ซัพพลายรถยนต์โลกสะเทือน = ไทยสะอึกทั้งนำเข้าและประกอบในประเทศ

จีนถือครองกำลังการผลิตและสกัด Rare Earth มากกว่า 60-70% ของโลก

จีน = เจ้าแห่ง “แร่หายาก” ตัวจริง จีนผลิตและสกัด Rare Earth ได้มากที่สุดในโลก มากกว่า 60-70% ของกำลังการผลิตโลก และถ้านับรวม “การแปรรูป” หรือ Refining ตัวเลขพุ่งไปถึง เกือบ 90%! นั่นหมายความว่า… ถึงแร่จะถูกขุดจากที่อื่น เช่น ออสเตรเลีย, สหรัฐฯ สุดท้ายก็ต้องส่งมาสกัดในจีนอยู่ดี!

ทำไมจีนคุมเกมได้?

  • ต้นทุนถูก – รัฐบาลสนับสนุน, ที่ดินกว้าง, กฎหมายไม่เข้มเท่าชาติตะวันตก
  • โครงสร้างพร้อม – มีโรงงานแปรรูป, ซัพพลายเชนที่ต่อเนื่อง
  • สะสมมาตั้งแต่ยุค 90s – สหรัฐฯ เคยเป็นผู้นำ แต่ปล่อยให้จีนแซง

หมัดเด็ดของจีน ตอนนี้แร่หายากกลายเป็นเหมือน “น้ำมันแห่งยุคเทคโนโลยี” จีนถือกุญแจอยู่ในมือ… จะส่งให้ใคร หรือจะงดส่ง… ก็ทำให้โลกสะเทือนได้

แร่ธาตุหายากขนาดกลางและหนัก 7 ประเภท ได้แก่ ซาแมเรียม แกโดลิเนียม เทอร์เบียม ดิสโพรเซียม ลูทีเทียม สแกนเดียม และอิตเทรียม จะถูกจัดอยู่ในรายการควบคุมการส่งออกตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน ตามข่าวเผยแพร่ของกระทรวงพาณิชย์ของประเทศจีน การเคลื่อนไหวดังกล่าวซึ่งส่งผลต่อการส่งออกไปยังทุกประเทศ ไม่ใช่แค่สหรัฐอเมริกาเท่านั้น ถือเป็นการแสดงตัวอย่างล่าสุดของความสามารถของจีนในการใช้อำนาจเหนือการขุดและแปรรูปแร่ธาตุสำคัญเป็นอาวุธ

ทำไมราคาสินค้า อย่างรถยนต์ EV หรืออื่นๆจะสูงขึ้นในประเทศจีน

  • มาตรการจำกัดการส่งออกแร่หายากของรัฐบาลจีนอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศในระยะสั้น โดยเฉพาะบริษัทที่ผลิตแร่หายากประเภทกลางถึงหนัก เนื่องจากอาจทำให้สต็อกสินค้าคงเหลือเพิ่มขึ้นและอาจต้องลดระดับการผลิตลง
  • อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว มาตรการดังกล่าวอาจช่วยเสริมสร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรและความปลอดภัยของประเทศ โดยการควบคุมการจัดหาทรัพยากรแร่หายากอย่างเข้มงวด และให้การสนับสนุนแก่บริษัทที่เกี่ยวข้อง
  • นอกจากนี้ การจำกัดการส่งออกอาจทำให้ราคาของแร่หายากในตลาดต่างประเทศสูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาภายในประเทศปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย
  • ดังนั้น แม้ว่าจะมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศในระยะสั้น แต่ในระยะยาว มาตรการนี้อาจช่วยเสริมสร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรและสนับสนุนการพัฒนาของบริษัทภายในประเทศ

การจำกัดการส่งออก ทำไม ทำให้แร่ราคาแพงขึ้นในจีน ?

  • ดีมานด์จากต่างประเทศไม่หาย แต่ซัพพลายหด เมื่อจีนจำกัดการส่งออกแร่หายาก พวกต่างชาติที่เคยพึ่งจีน 90% ก็ยังต้องการของอยู่
    • กลายเป็น “ของขาด” ในตลาดโลก ราคาต่างประเทศพุ่ง
    • ทำให้พ่อค้าคนกลาง/ผู้ผลิตในจีน ชะลอขายในประเทศ หวังส่งออกแบบถูกกฎหมาย/ทางอ้อม หรือเก็บรอราคาดี
  • อารมณ์นักลงทุน/ผู้ผลิตจีน: ราคาจะขึ้นอีกแน่ พอมีมาตรการแบบนี้ นักลงทุนและโรงงานในจีนบางรายก็เริ่ม
    • เกิดดีมานด์เทียมในประเทศ ทำให้ราคาพุ่งตามอารมณ์ (market sentiment)
    • หรือบางรายต้องแย่งซื้อเพราะกลัว “วัตถุดิบจะขาดในอนาคต”
    • กักตุนแร่ไว้ ไม่ปล่อยของ
  • ต้นทุนสายผลิตในประเทศก็ปรับตัวตาม
    • จีนเองก็มีบริษัทผลิตสินค้าเทคโนโลยี เช่น มอเตอร์ EV, ชิป, แบตเตอรี่ ซึ่งใช้แร่พวกนี้
    • เมื่อบริษัทต้นน้ำขายของแพงขึ้นเพราะรู้ว่า “ต่างชาติยังยอมซื้อแพงได้”  บริษัทในจีนก็ต้องซื้อแพงขึ้นตามไปด้วย
  • นโยบายกำกับภายในเข้มงวดขึ้น
    • นอกจากห้ามส่งออก จีนยังเริ่มตรวจสอบต้นทาง/ปลายทางแร่อย่างละเอียด
    • ทำให้ต้นทุนการตรวจสอบ, การขอใบอนุญาต, หรือการแปรรูปแร่สูงขึ้น
    • สุดท้ายไปสะท้อนที่ราคาขาย

tomshardware

Advertisement

Advertisement

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหาของหน้านี้ได้