
สรุปสถานการณ์แบบเข้าใจง่าย:
-
จีน ประกาศ ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ จาก 84% → 125% เริ่ม 12 เม.ย. 2025
-
เพื่อโต้กลับ สหรัฐฯ ที่เพิ่ง งัดภาษีสินค้าจีนขึ้นเป็น 145%
-
กระทรวงการคลังจีน บอกชัดเจนแบบไม่ไว้หน้า:
“ไม่สน ไม่แคร์ และไม่ยอมรับการขึ้นภาษีจากสหรัฐฯอีกต่อไปแล้ว”
-
เหตุผล: “ยังไงก็ขายไม่ได้ในจีนอยู่ดี ถ้าภาษียังสูงขนาดนี้”
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น:
-
สินค้าอเมริกันในจีน เช่น รถยนต์, เครื่องใช้ไฟฟ้า, สินค้าเกษตร ฯลฯ อาจ ขายไม่ออก
-
ตลาดโลกตึงเครียด นักลงทุนและบริษัทข้ามชาติ อาจหันไปจับตามองตลาดใหม่
-
อุตสาหกรรม EV และเทคโนโลยี เสี่ยงถูกลูกหลง เพราะเป็นด่านหน้าในเกมการค้า
ประโยคที่จีนพูดแล้วเจ็บจี๊ด:
“ไม่มีโอกาสที่สินค้าสหรัฐฯ จะได้รับการยอมรับจากตลาดจีนอีกต่อไป ภายใต้อัตราภาษีเช่นนี้”
นี่ไม่ใช่แค่ขึ้นภาษี — แต่มันคือการ “สะบัดบ๊ายบาย” กันอย่างเป็นทางการ!
เหตุการณ์ล่าสุด: “ภาษีต่อภาษี เดือดระดับดุเดือด”
-
สหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีสินค้าจีนรอบใหม่อีก 20% → รวมเป็น 145%
-
จีนโต้ทันที ขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ จาก 84% → 125%
-
จีนประกาศชัด “ไม่แคร์ ไม่สน ไม่เล่นด้วยอีกต่อไป”
วิเคราะห์เชิงกลยุทธ์
1. นี่ไม่ใช่แค่การตอบโต้ แต่มันคือ “การแสดงพลัง”
-
จีน แสดงว่า ไม่ยอมเป็นฝ่ายถูกบีบอีกต่อไป โดยการขึ้นภาษีอย่างดุดัน
-
สหรัฐฯ โดยเฉพาะฝั่งทรัมป์ พยายามเอาชนะศึกการค้า ด้วยการ บีบการส่งออกจีน ให้ลดลงในตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่ม EV, แบตเตอรี่, ชิป
สรุปคือ “คนหนึ่งพยายามปิดประตู อีกคนตัดสินใจโยนกุญแจทิ้ง”
2. EV คือหมากตัวสำคัญ
-
จีนคือผู้นำตลาด EV ของโลก และแบรนด์จีนเริ่มตีตลาดยุโรป-อเมริกา
-
สหรัฐฯ กลัวว่าภายใน 5 ปี จีนจะ ครองตลาด EV ในราคาถูกกว่า เทคโนโลยีล้ำกว่า
-
การขึ้นภาษีแบบนี้ทำให้แบรนด์อย่าง BYD, XPeng, Geely ต้อง “ชะลอ” หรือ “เปลี่ยนเป้าหมาย” จากตลาดสหรัฐฯ ไปยัง ยุโรป เอเชีย และตะวันออกกลาง
3. ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์โลก
4. เกมการเมืองระหว่างประเทศที่ซ่อนอยู่
-
การเลือกตั้งสหรัฐฯ ปี 2024 ทรัมป์/รีพับลิกันกลับมาแข็งกร้าวกับจีน
-
จีนไม่ยอมเล่นตามเกมเดิมอีกต่อไป การขึ้นภาษีรอบนี้คือ การวางหมากแบบไร้ทางถอย
-
ยุโรป อาจกลายเป็นสนามประลองต่อไป หากโดนแรงกดดันจากทั้งสองฝั่ง
บทสรุป: นี่ไม่ใช่ “สงครามการค้า” ธรรมดา แต่มันคือ “ศึกยุทธศาสตร์อนาคต”
-
จีนกับสหรัฐฯ กำลังสู้กันเพื่อแย่ง “บทบาทผู้นำโลก” ในอุตสาหกรรมยุคใหม่ ทั้ง AI, EV, Clean Energy
-
ใครแพ้ = ถูกกลืนในโลกเศรษฐกิจยุคใ
ที่มา : www.bloomberg.com/news/articles/2025-04-11/china-raises-tariffs-on-us-goods-to-125-in-retaliation

วันที่ 11 เมษายน 2025 ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนเป็น 145% เพื่อตอบโต้ภาษี 84% จากจีน
ตัวเลขภาษีใหม่นี้ ถูกเผยแพร่ในบันทึกของทำเนียบขาว โดยเป็นการเพิ่มขึ้นจากภาษี 20% ที่สหรัฐฯ ได้ประกาศใช้เมื่อต้นปีนี้ ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อลงโทษจีนจากบทบาทในการลักลอบส่งเฟนทานิล
เมื่อวันพฤหัสบดี ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเป็น 145% หลังจากที่จีนได้ตอบโต้ด้วยการเก็บภาษี 84% จากสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ตามรายงานของ Bloomberg
ทรัมป์กล่าวเมื่อวันพุธก่อนหน้านั้นว่า เขาจะขึ้นภาษี 125% กับสินค้าจีนทั้งหมด เพื่อแก้ปัญหาการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ และตอบโต้การตอบโต้จากจีนที่เขามองว่า “ไม่ยุติธรรม”
สรุปภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ ใช้ในปัจจุบัน
-
145% ภาษีสำหรับสินค้าทุกชนิดที่นำเข้าจากจีน
-
25% สำหรับอลูมิเนียม รถยนต์ และสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก ที่ไม่อยู่ภายใต้ข้อตกลง USMCA
-
10% สำหรับสินค้านำเข้าทั่วไปจากประเทศอื่น
ทรัมป์กล่าวถึง “ปัญหาระหว่างเปลี่ยนผ่าน”
แม้จะยอมรับว่าอาจมี “ปัญหาในช่วงเปลี่ยนผ่าน” ทรัมป์ยังมั่นใจในแผนของตน โดยกล่าวระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันพฤหัสบดีว่า
“มันจะมีต้นทุนในช่วงเปลี่ยนผ่าน มีปัญหาระหว่างเปลี่ยนผ่านแน่นอน แต่สุดท้ายแล้ว มันจะเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม”
“เรากำลังอยู่ในสถานะที่แข็งแกร่งมาก”
ก่อนหน้านี้หนึ่งวัน ทรัมป์ได้ประกาศ “พักการเก็บภาษีชั่วคราว 90 วัน” สำหรับประเทศส่วนใหญ่ แต่เพิ่มอัตราภาษีจีนเป็น 125% ทันที
จีนนำเข้าอะไรจากสหรัฐฯ ?
ในปี 2024 จีนได้สั่งซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ มูลค่าประมาณ 143.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสินค้าหลักที่นำเข้า ได้แก่
- เครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า: มูลค่า 15.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะวงจรรวมและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
- น้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ: มูลค่า 14.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
- ถั่วเหลือง: มูลค่า 12.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้จีนเป็นตลาดหลักสำหรับการส่งออกถั่วเหลืองของสหรัฐฯ
- ยานยนต์: มูลค่า 10.55 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
- ผลิตภัณฑ์เภสัชกรรม: มูลค่า 6.58 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
สหรัฐฯ นำเข้าอะไรจากจีน ?
ในปี 2024 สหรัฐอเมริกานำเข้าสินค้าจากจีนมูลค่าประมาณ 438.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสินค้าหลักที่นำเข้า ได้แก่:
- โทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์สื่อสาร: เช่น สมาร์ทโฟนและโทรศัพท์มือถือ มูลค่าประมาณ 4.41 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
- คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เสริม: รวมถึงแล็ปท็อปและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์อื่น ๆ มูลค่าประมาณ 3.88 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
- แบตเตอรี่ไฟฟ้า: มูลค่าประมาณ 1.91 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
- เสื้อผ้าและสิ่งทอ: สหรัฐฯ นำเข้าเสื้อผ้าและสิ่งทอจากจีนเป็นจำนวนมาก เนื่องจากการผลิตในประเทศลดลงอย่างมาก
- ของเล่นและเกม: ของเล่นเด็กและเกมต่าง ๆ เป็นสินค้านำเข้าหลักจากจีน
- เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์: เช่น โทรทัศน์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม ในปี 2025 สหรัฐฯ ได้ประกาศเพิ่มภาษีศุลกากรสูงถึง 145% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสินค้าหลายประเภท รวมถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และของเล่น
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนมีความผันผวน เนื่องจากการขึ้นภาษีศุลกากรและการตอบโต้ทางการค้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อการนำเข้าสินค้าบางประเภท เช่น ถั่วเหลือง
hindustantimes

วันที่ 10 เมษายน 2025 หุ้นวอลล์สตรีทพุ่งแรงทันที หลัง “ทรัมป์” ประกาศหยุดเก็บภาษีศุลกากร 90 วัน สำหรับทุกประเทศ ยกเว้นจีน
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเป็น 125% พร้อมประกาศ “พักเก็บภาษีตอบโต้” เป็นเวลา 90 วัน สำหรับประเทศอื่น ๆ ทั้งหมด ยกเว้นจีน ตามรายงานของ AFP
“เนื่องจากจีนไม่แสดงความเคารพต่อตลาดโลก ข้าพเจ้าจึงขอประกาศขึ้นภาษีสินค้าจากจีนที่นำเข้ามาสหรัฐอเมริกาเป็น 125% มีผลทันที” ทรัมป์เขียนผ่านโซเชียลมีเดีย Truth
ทรัมป์ระบุว่า มีมากกว่า 75 ประเทศร้องขอให้มีการเจรจาเกี่ยวกับภาษีดังกล่าว โดยเขายังได้ “อนุมัติให้หยุดการเก็บภาษีเป็นเวลา 90 วัน พร้อมลดอัตราภาษีตอบโต้ลงเหลือ 10% ชั่วคราว มีผลทันที”
หลังข่าวดังกล่าว หุ้นวอลล์สตรีทดีดกลับแรง โดยดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 6.0% แตะ 5,281.44 จุด พลิกฟื้นจากภาวะขาลงต่อเนื่อง นับตั้งแต่ทรัมป์ประกาศภาษีเมื่อ “วันปลดปล่อยทาส” (Emancipation Day) เมื่อสัปดาห์ก่อน
ทั้งนี้ ข่าวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากเมื่อวันที่ 9 เมษายน ทรัมป์เพิ่งขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนเป็น 104% และจีนก็ตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ เป็น 84%
สรุปเหตุการณ์ทั้งหมดแบบเข้าใจง่าย:
-
ก่อนหน้านี้ (9 เม.ย.)
- ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 104%
- จีนโต้กลับทันควัน โดยขึ้นภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ เป็น 84%
- สถานการณ์ตึงเครียด ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวน โดยเฉพาะวอลล์สตรีท
- ล่าสุด (วันที่ประกาศข่าว)
- ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน เพิ่มอีกเป็น 125% โดยให้เหตุผลว่า จีนไม่ให้ความเคารพต่อตลาดโลก
- พร้อมกันนั้น ทรัมป์ประกาศ “พักเก็บภาษีตอบโต้” 90 วันสำหรับประเทศอื่นๆ (ยกเว้นจีน) โดยลดภาษีเหลือแค่ 10% ชั่วคราว
- เขาระบุว่า มี กว่า 75 ประเทศร้องขอให้เจรจา ทำให้สหรัฐฯ ยอมผ่อนปรนเป็นกรณีพิเศษ
- ผลกระทบในทันที
- ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทพุ่งแรง โดย ดัชนี S&P 500 กระโดดขึ้น 6% แตะ 5,281.44 จุด
- นักลงทุนมองว่าการผ่อนปรนภาษีชั่วคราวช่วยลดแรงกดดันจากสงครามการค้า แม้จีนยังโดนเต็มๆ
สาเหตุที่หุ้นวอลล์สตรีทพุ่งแรง หลังทรัมป์ประกาศนโยบายล่าสุด มีอยู่หลักๆ ดังนี้:
- ตลาดคลายความกังวลเรื่องสงครามการค้า ก่อนหน้านี้ นักลงทุนวิตกกังวลอย่างหนักหลังจากทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีสินค้าจากหลายประเทศรวมถึงจีน ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อการค้าโลก ทำให้ตลาดหุ้นตกลงต่อเนื่อง แต่เมื่อทรัมป์ประกาศพักเก็บภาษีเป็นเวลา 90 วันสำหรับทุกประเทศยกเว้นจีน นักลงทุนมองว่าเป็นสัญญาณบวกที่ลดความเสี่ยงจากสงครามการค้าระดับโลก จึงเร่งกลับเข้ามาลงทุน
- ตลาดรับรู้ว่าจีนเป็นเป้าหมายหลัก ไม่ใช่ทั้งโลก การที่ทรัมป์ยังคงขึ้นภาษีกับจีน แต่ผ่อนปรนให้ประเทศอื่น ทำให้นักลงทุนเข้าใจว่าสหรัฐฯ ต้องการเจรจาหรือกดดันเฉพาะจีน ไม่ได้เปิดฉากทำสงครามการค้ากับทุกประเทศ สิ่งนี้ช่วยให้ภาพรวมของการค้าระหว่างประเทศยังมีช่องทางเดินหน้าอยู่
- แรงซื้อทางเทคนิคและการเก็งกำไร ก่อนหน้าข่าวนี้ ตลาดหุ้นอยู่ในช่วงขาลงต่อเนื่อง นักลงทุนจำนวนมากขายหุ้นไปก่อนหน้านี้ เมื่อข่าวดีออกมา จึงมีการกลับเข้าซื้อคืน ทั้งในเชิงเก็งกำไรและเพื่อดึงพอร์ตกลับมาในจังหวะที่ราคายังต่ำ
- ความหวังต่อการเจรจาระหว่างประเทศ การที่ทรัมป์ระบุว่ามีมากกว่า 75 ประเทศขอเจรจาเกี่ยวกับภาษี เป็นสัญญาณที่ดีต่อตลาด เพราะหมายความว่าอาจมีการหาทางออกที่สร้างความมั่นคงมากขึ้นในระยะยาว นักลงทุนจึงมีความมั่นใจมากขึ้นในการลงทุน
bgnes