Advertisement

Advertisement

FORD สหรัฐฯ ยังคงขาดทุนจากการขายรถยนต์ไฟฟ้าครึ่งปี 2024 กว่า 86,718 ล้านบาท

FORD สหรัฐฯ ยังคงขาดทุนจากการขายรถยนต์ไฟฟ้าครึ่งปี 2024 กว่า 86,718 ล้านบาท
Spread the love

Advertisement

Advertisement
Computer-generated, preproduction model. Not all components shown. Available starting spring 2022.

 

วันที่ 26 กรกฏาคม 2024 หุ้นของฟอร์ดร่วงกว่า 11% เนื่องจากปัญหาคุณภาพและการดำเนินงานของ EV ทำให้กำไรลดลง ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2024

ต้นทุนการรับประกันเพิ่มขึ้น 800 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 28,900 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 2 และแผนกไฟฟ้าของ Ford ขาดทุน 1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 39,745 ล้านบาท ในช่วงเดือนเมษายน – มิถุนายน 2024 หรือไตรมาสที่ 2 

สถานะของ Ford ในฐานะผู้เรียกคืนรถรายใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้ขับขี่ที่คิดจะซื้อผลิตภัณฑ์ของบริษัทรู้สึกไม่พอใจเท่านั้น แต่ยังทำให้บรรดานักลงทุนเปลี่ยนใจอีกด้วย ปัจจุบันราคาหุ้นของฟอรืดร่วง 11% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการทางการเงินที่น่าผิดหวัง โดยอ้างว่าสาเหตุมาจากต้นทุนการรับประกันที่เพิ่มสูงขึ้น

ต้นทุนการแก้ไขข้อบกพร่องด้านคุณภาพหลังการลงทะเบียนเพิ่มขึ้น 800 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ Ford รายงานกำไรสุทธิ 1.83 พันล้านดอลลาร์ (46 เซ็นต์ต่อหุ้น) เมื่อเทียบกับ 1.92 พันล้านดอลลาร์ (47 เซ็นต์ต่อหุ้น) ในเดือนเมษายนถึงมิถุนายน 2023 นักวิเคราะห์คาดการณ์กำไรต่อหุ้นที่ 68 เซ็นต์สำหรับไตรมาสที่ 2 ตามรายงานของ  CNBC

นับตั้งแต่ต้นปี ฟอร์ดได้เรียกคืนรถยนต์ไปแล้ว 31 ครั้ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อรถยนต์จำนวน 3.66 ล้านคัน รองลงมาคือ TESLA ซึ่งได้รับผลกระทบจากคุณภาพ โดยเรียกคืนรถยนต์ไปเพียง 8 ครั้ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อรถยนต์จำนวน 2.55 ล้านคัน ขณะที่คู่แข่งรายใหญ่ของฟอร์ดอย่าง GM เรียกคืนรถยนต์ไปเพียง 656,000 คันเท่านั้น

ต้นทุนการรับประกันไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของ Ford หน่วยผลิตยานยนต์ไฟฟ้า หรือ Model e ของบริษัท ยังขาดทุนเข้าไปอีก 1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐในช่วงสามเดือนก่อนหน้า เนื่องจาก Ford และผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ ดิ้นรนเพื่อรับมือกับตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ยังไม่เติบโตอย่างที่คาดหวัง การขาดทุนดังกล่าวลดลงอย่างน้อยจากการสูญเสีย 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐที่เกิดขึ้นในไตรมาสแรก นั้นแสดงว่า ฟอร์ดขาดทุนจาก Model e หรือ กลุ่มยานยนต์ไฟฟ้ากว่า 2,400 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 86,718 ล้านบาท

  • FORD ขายรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงครึ่งปี 2024 รวมกว่า 44,180 คันเพิ่มขึ้นเกือบ 72% จากปีก่อน คิดเป็นประมาณ 4.4% ของยอดขายทั้งหมดของแบรนด์ นั้นเท่ากับพวกเขาขาดทุนทุกๆการขายรถยนต์ไฟฟ้า 1 คันจะติดลบ -1.96 ล้านบาท
  • ในปี 2023 ฟอร์ดขาดทุนจากกลุ่ม EV กว่า 4.7 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 169,858 ล้านบาท

ปัจจุบัน Ford กำลังพัฒนาแพลตฟอร์มรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กราคาประหยัด โดยคาดว่าจะสามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าราคา 30,000 เหรียญสหรัฐได้ภายในสิ้นทศวรรษนี้ และได้เลื่อนแผนการสร้างรถยนต์ไฟฟ้าขนาดใหญ่ออกไป เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว บริษัทประกาศว่าจะผลิตรถบรรทุกเชื้อเพลิง Super Duty ที่ทำกำไรได้สูง ในโรงงานแห่งหนึ่งในออนแทรีโอ ซึ่งก่อนหน้านี้โรงงานแห่งนี้เคยใช้ผลิต Explorer และ Lincoln Aviator ที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่

แม้ว่ารายได้สุทธิของ Ford จะลดลง แต่รายได้รวมกลับเพิ่มขึ้น 6 เปอร์เซ็นต์เป็น 47,810 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเฉพาะแผนก Ford Pro เชิงพาณิชย์สร้างกำไรได้ 2,600 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีอัตรากำไร 15.1 เปอร์เซ็นต์ และ Ford Blue ซึ่งเป็นแผนกรถยนต์เก่าแก่ของ Ford ที่ดูแลรถยนต์ ICE มีกำไร 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐ

Ford BEV sales year-to-date (YOY change):

  • Ford Mustang Mach-E: 22,234 (up 58%)
  • Ford F-150 Lightning: 15,645 (up 79%)
  • Ford E-Transit: 6,301 (up 116%)
  • Total: 44,180 (up 72%) and 4.4% share

ที่มา : CNBC

Advertisement

Advertisement

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหาของหน้านี้ได้