Huawei พัฒนาระบบขับอัตโนมัติ L4 ใช้จริงอีก 3 ปี
หัวเว่ย แบรนด์เทคโนโลยีชื่อดังเมืองจีน เตรียมเปิดตัวรถยนต์ที่ติดตั้งระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับ L4 ภายในปี 2567 หรืออีก 3 ปีข้างหน้า ร่วมกับพันธมิตร GAC
- Guangzhou Automobile Group Motor CO., LTD หรือ GAC Motor ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2008 เป็นบริษัทในเครือของ GAC Group ที่ติดอันดับ 202 ในทำเนียบ Fortune Global 500 โดย GAC Motor เป็นผู้พัฒนาและผลิตยานยนต์ เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และอุปกรณ์ประดับยนต์คุณภาพสูง ปัจจุบัน GAC Motor ขึ้นตำแหน่งแบรนด์จีนอันดับหนึ่ง ในรายงาน China Initial Quality Study (IQS) ของ J.D. Power Asia Pacific เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน ซึ่งสะท้อนถึงกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นคุณภาพทั้งในส่วนของการวิจัยและพัฒนา การผลิต ห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงการขายและการให้บริการ
GAC Group เปิดเผยว่าได้ร่วมมือกับ Huawei ในการพัฒนา ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับ L4 มีแผนจะเริ่มดำเนินสายการผลิตรถยนต์จำนวนมากในอีก 3 ปีข้างหน้า
ทั้งนี้ Huawei และ GAC พันธมิตรเปิดตัวรถยนต์ นำร่องภายใต้แบรนด์ Aion แบรนด์ EV ของ GAC
ไม่แปลกใจเลยที่ Huawei เลือก GAC ในการพัฒนารถยนต์ของแบรนด์ เพราะทั้งคู่มีความเข้าใจในข้อตกลงความร่วมมือเชิงกลยุทธิ์มากมายในอดีต
ตั้งแต่ปี 2017 GAC และ Huawei ได้ลงนามในข้อตกลงเพื่อดำเนินความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ
ในปี 2019 พวกเขาได้ร่วมมือกัน เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มรุ่นใหม่สำหรับยานยนต์อัจฉริยะ
ในเดือนกันยายน 2020 พวกเขาได้ลงนามความร่วมมือเชิงกลยุทธ์อีกครั้งเกี่ยวยานยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งซอฟต์แวร์ (SVD)
ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2564 หัวเว่ยได้ลงนามในข้อตกลงอีกฉบับกับ GAC เกี่ยวกับโซลูชันการขับขี่อัตโนมัติของหัวเว่ย
Autopilot มี 5 ระดับ ได้แก่
- ระดับ 1 จะมีระบบอัตโนมัติ ช่วยเหลือผู้ขับขี่ เช่น การบังคับเลี้ยวหรือการเร่งและควบคุมความเร็วคงที่ รวมทั้งระบบควบคุมความเร็วคงที่แบบปรับความเร็วอัตโนมัติ ซึ่งสามารถควบคุมยานพาหนะไว้ในระยะที่ปลอดภัยต่ออุบัตเหตุ ซึ่งคุณสมบัติ Level 1 ยังต้องการวิจารณญาณของมนุษย์คนขับ ตรวจสอบการใช้ฟังก์ชั่นช่วยขับขี่ร่วมด้วย
- ระดับ 2 จะมีระบบ ADAS หรือ Advanced Driver Assistance Systems ซึ่งเป็นระบบบังคับเลี้ยวอัตโนมัติคู่กับระบบควมคุมอัตราเร่งและปรับความเร็วให้ทำงานประสานกันผ่านกลไกการควบคุมที่ซับซ้อน… ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ทุกค่ายล้วนใส่เงินไปกับการวิจัยระบบ ADAS ต่อเนื่องมานาน
- ระดับ 3 จะมีความสามารถในการตรวจจับสภาพแวดล้อม และสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดเช่น การเร่งแซงรถที่ช้า แต่ระบบก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากมนุษย์ แม้มนุษย์ไม่ต้องเหยียบคันเร่งถือพวงมาลัย… แต่ผู้ขับขี่จะต้องตื่นตัวและพร้อมที่จะเข้าควบคุมทันทีหากระบบผิดพลาด ซึ่งส่วนใหญ่ระบบจะออกแบบให้ตรวจสอบเงื่อนไขการทำงานอัตโนมัติตลอดเวลา และหาก Condition หรือเงื่อนไขการทำงานในระบบผิดพลาด… รถจะมีฟังก์ชั่นขอความช่วยเหลือจากมนุษย์ติดมาด้วย
- ระดับ 4 ไม่ต้องมีมนุษย์คอยช่วยเหลือในยามเข้าตาจนเหมือน Level 3 อีกเลย แม้จะมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นทั้งในระบบและสภาพแวดล้อมภายนอก หรือแม้แต่เกิดขัดข้องขึ้น พาหนะ Level 4 ก็จะจัดการความผิดปกติและบกพร่องทั้งหลายได้เอง โดยพึ่งพาและปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ในฐานะผู้โดยสาร มากกว่าจะพึ่งพามนุษย์ในฐานะผู้ควบคุมปกป้องความผิดพลาด พาหนะ Level 4 สามารถทำงานในโหมดขับขี่ด้วยตนเอง หรือ Self-Driving Mode ได้อย่างสมบูรณ์
- ระดับ 5 ไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆ จากมนุษย์อีก เพราะระบบจะทำงาน Dynamic Driving Task เต็มประสิทธิภาพ เทียบเท่าระดับเดียวกับ หรือ ดีกว่ามนุษย์ที่มีทักษะการขับรถยอดเยี่ยมที่สุด… พาหนะ Level 5 จึงไม่มีแม้แต่พวงมาลัย แป้นเหยียบคันเร่งและแป้นเบรก ทำให้พาหนะ Level 5 เป็น Fully Autonomous Cars ซึ่งเป็นเป้าหมายความสำเร็จของการพัฒนายานพาหนะบนพื้นผิวยุคต่อไป…
Source: Autohome, Auto-time, Synopsis