MAZDA ลดการลงทุน EV ลง 40% เน้นพัฒนาสันดาปใหม่อย่าง SKYACTIV-Z

สรุปก่อนอ่าน “Lean Asset Strategy” ของ Mazda
1. กลยุทธ์ Lean Asset Strategy
- มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
- ลดต้นทุนการลงทุนด้านยานยนต์ไฟฟ้า (EV) จาก 2 ล้านล้านเยนเหลือ 1.5 ล้านล้านเยน หรือ 337,694 ล้านบาท
- ใช้ความร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อลดต้นทุนด้านแบตเตอรี่ลงครึ่งหนึ่ง
- ผลิตรถยนต์ EV และเครื่องยนต์สันดาปภายในบนสายการผลิตเดียวกัน ลดต้นทุนการลงทุนเริ่มต้นลง 85%
- ลดระยะเวลาเตรียมการผลิตจำนวนมากลง 80%
2. Mazda Monozukuri Innovation
✅ Mazda Monozukuri Innovation 1.0
- วางแผนพัฒนาเทคโนโลยีล่วงหน้า 5-10 ปี
- ใช้การออกแบบสถาปัตยกรรมและกระบวนการผลิตที่สามารถใช้ร่วมกันได้ (common architecture)
- ใช้วิธีผลิตแบบ mixed-production เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น
✅ Mazda Monozukuri Innovation 2.0
- ใช้ Model-Based Development (MBD) ควบคู่กับ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนา
- ปรับปรุงสายการผลิตด้วย AGV (Automatic Guided Vehicle) และ Unmanned Guided Vehicle
- ปรับโครงสร้างซัพพลายเชนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
3. เทคโนโลยี SKYACTIV-Z
- รองรับมาตรฐานไอเสียใหม่ เช่น Euro 7, LEV4, Tier 4
- เทคโนโลยีการเผาไหม้ขั้นสูง ให้สมรรถนะและความประหยัดน้ำมันที่ดีขึ้น
- จะเปิดตัวใน Mazda CX-5 รุ่นใหม่ ภายในปี 2027 พร้อมระบบไฮบริด
- ใช้ได้กับเครื่องยนต์ 6 สูบแถวเรียง และเครื่องยนต์โรตารี
- ลดจำนวนรุ่นเครื่องยนต์เหลือไม่ถึงครึ่ง และรวมซอฟต์แวร์ควบคุม
4. แผนพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า (Battery EV)
- แพลตฟอร์ม EV รองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีแบตเตอรี่ในอนาคต
- เน้นประสบการณ์การขับขี่ Jinba-ittai อันเป็นเอกลักษณ์ของ Mazda
- เปิดตัวรถ EV ที่พัฒนาเองในปี 2027 และผลิตใน ประเทศญี่ปุ่น
ฮิโรชิมา, ญี่ปุ่น – Mazda Motor Corporation (Mazda) ประกาศกลยุทธ์ “Lean Asset Strategy” ซึ่งเป็นแนวทางที่ช่วยให้บริษัทสามารถดำเนินแผนพัฒนาไฟฟ้าหลายแนวทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Mazda มองว่าช่วงเวลาจนถึงปี 2030 เป็น “รุ่งอรุณแห่งยุคยานยนต์ไฟฟ้า” และภายใต้นโยบายการบริหารงานปี 2030 บริษัทจะส่งเสริมการใช้พลังงานไฟฟ้าผ่านแนวทางที่ยืดหยุ่นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่หลากหลาย กลยุทธ์ “Lean Asset Strategy” ที่ประกาศในวันนี้ เป็นกลยุทธ์การดำเนินงานที่มุ่งเพิ่มมูลค่าของ Mazda ในฐานะผู้เล่นเฉพาะกลุ่ม (niche player) โดยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในการพัฒนา การผลิต และการเปิดตัวผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าได้อย่างเหมาะสม
ผลกระทบของกลยุทธ์ “Lean Asset Strategy”
- เงินลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าจำนวน 1.5 ล้านล้านเยนที่ประกาศไว้ในปี 2022 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านล้านเยนจากภาวะเงินเฟ้อ แต่ Mazda จะสามารถลดการลงทุนลงเหลือประมาณ 1.5 ล้านล้านเยนโดยใช้กลยุทธ์เพิ่มประสิทธิภาพ เช่น ลดการลงทุนในแบตเตอรี่ ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตร โดยลดต้นทุนลงทุนด้านแบตเตอรี่ลงครึ่งหนึ่งจากเดิม 750 พันล้านเยน
- ในด้านการผลิต (Monozukuri) บริษัทนำกลยุทธ์ “Mazda Monozukuri Innovation 2.0” มาใช้ ซึ่งเป็นการปรับปรุงกระบวนการพัฒนาและการผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยสามารถเพิ่มผลผลิตในการพัฒนาได้ถึง 3 เท่า ทำให้สามารถจัดการงานที่ซับซ้อนได้โดยใช้ทรัพยากรเท่าเดิม
- สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าที่จะเปิดตัวในปี 2027 Mazda คาดว่าจะลดต้นทุนการพัฒนาลง 40% และลดชั่วโมงทำงานด้านการพัฒนาลง 50% ผ่านการทำงานร่วมกันกับพันธมิตร
- โดยการใช้ทรัพยากรการผลิตที่มีอยู่ในการผลิตทั้งยานยนต์ไฟฟ้าและยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในบนสายการผลิตเดียวกัน Mazda สามารถลดต้นทุนการลงทุนเริ่มต้นลงถึง 85% และลดระยะเวลาเตรียมการผลิตจำนวนมากลง 80% เมื่อเทียบกับการสร้างโรงงานใหม่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ
- บริษัทจะเติบโตอย่างยั่งยืนโดยสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าต้นทุนของเงินทุน ด้วยการใช้สินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ ลงทุนอย่างรอบคอบ และมอบเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ที่มีความสามารถในการแข่งขัน
ในช่วงที่อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ Mazda ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจ (joy of driving) ให้กับคนรุ่นใหม่ พร้อมทั้งสร้างสมดุลระหว่างเทคโนโลยีที่ยั่งยืนและความยืดหยุ่นด้านการบริหารจัดการ เพื่อส่งมอบความตื่นเต้นในประสบการณ์การขับขี่ให้กับลูกค้าทั่วโลก
แนวทางการดำเนินงานที่สำคัญ
■ “Mazda Monozukuri Innovation 1.0”
เป็นกระบวนการพัฒนาและผลิตที่เป็นเอกลักษณ์ของ Mazda โดยแม้ว่าบริษัทจะมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับคู่แข่ง แต่สามารถบรรลุทั้งประสิทธิภาพจากขนาด (economies of scale) และความยืดหยุ่นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า
- Mazda วางแผนผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีที่จำเป็นในอีก 5-10 ปีข้างหน้า จากนั้นให้ทีมพัฒนาและทีมผลิตร่วมมือกันออกแบบโครงสร้างและกระบวนการที่สามารถใช้ร่วมกันกับผลิตภัณฑ์ในอนาคตได้ (common architecture)
- ใช้วิธีผลิตแบบ mixed-production ที่สามารถผลิตรถหลายรูปแบบบนสายการผลิตเดียวกันโดยใช้เครื่องจักรอเนกประสงค์
■ “Mazda Monozukuri Innovation 2.0”
เป็นการพัฒนาแนวทาง “Mazda Monozukuri Innovation 1.0” ให้มีความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพสูงขึ้นในยุคของยานยนต์ไฟฟ้าและระบบอัจฉริยะ
- วางแผนพัฒนาและผลิตทั้งยานยนต์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์สันดาปภายในไปพร้อมกัน
- ในด้านการพัฒนา ขยายการใช้ Model-Based Development (MBD) จากระดับชิ้นส่วนไปสู่ระดับทั้งคันรถ โดยใช้ AI และเทคโนโลยีขั้นสูง
- ร่วมมือกับ JAMBE* และพันธมิตรอื่นๆ เพื่อขยายกระบวนการพัฒนาแบบจำลองไปยังห่วงโซ่อุปทาน ทำให้การพัฒนามีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ในการผลิต ใช้ “Rootless Production Equipment” เช่น AGV (Automatic Guided Vehicle) และ Unmanned Guided Vehicle ทำให้สามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์สันดาปภายในในสายการผลิตเดียวกัน ช่วยให้ปรับตัวตามความต้องการของตลาดได้ดีขึ้น
■ SKYACTIV-Z
- เป็นเทคโนโลยีเครื่องยนต์ที่รองรับมาตรฐานไอเสียที่เข้มงวด เช่น Euro 7 ในยุโรป, LEV4 และ Tier 4 ในสหรัฐฯ
- ใช้เทคโนโลยีการเผาไหม้ขั้นสูงที่ช่วยให้ประหยัดน้ำมันและมีสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยม
- จะเปิดตัวพร้อมระบบไฮบริดของ Mazda ใน Mazda CX-5 รุ่นถัดไป ภายในปี 2027
- เทคโนโลยี SKYACTIV-Z ยังถูกนำไปใช้กับเครื่องยนต์ 6 สูบแถวเรียง และพัฒนาเพื่อให้ตรงตามมาตรฐานการปล่อยมลพิษของเครื่องยนต์โรตารี
- จำนวนรุ่นเครื่องยนต์จะถูกลดลงเหลือไม่ถึงครึ่ง และระบบควบคุมซอฟต์แวร์จะถูกรวมเป็นสองในสามของจำนวนเดิม
■ ยานยนต์ไฟฟ้า (Battery EV)
- Mazda ได้พัฒนาแพลตฟอร์ม EV โดยคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีแบตเตอรี่ในอนาคต และสามารถรองรับแบตเตอรี่ประเภทต่างๆ เพื่อให้สามารถพัฒนารถยนต์รุ่นที่หลากหลาย
- รถยนต์ไฟฟ้าของ Mazda ยังคงมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ “Jinba-ittai”
- รถยนต์ไฟฟ้าที่พัฒนาเองโดย Mazda จะเปิดตัวในปี 2027 และผลิตใน ประเทศญี่ปุ่น เพื่อจำหน่ายในตลาดทั่วโลก
Mazda ยังคงมุ่งมั่นในการสร้างนวัตกรรมและรักษาอัตลักษณ์ของแบรนด์ แม้ในยุคเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า โดยให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นในการผลิต และการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต