HONDA และ NISSAN กำลังควบรวมกิจการเพื่อแข่งขันกับรถยนต์ไฟฟ้าจีน รวมถึง TESLA
ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น ฮอนด้าและนิสสัน เตรียมเจรจาควบรวมกิจการ เพื่อรับมือการแข่งขันจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ทั่วโลก
มีรายงานว่าฮอนด้าและนิสสัน สองบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น กำลังเตรียมการเจรจาเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการควบรวมกิจการ เพื่อรับมือกับการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้นจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) รายใหญ่ โดยเฉพาะจากผู้เล่นหน้าใหม่อย่าง BYD และ Li Auto จากจีน ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็ว ตามรายงานจากหนังสือพิมพ์การเงิน Nikkei
ทั้งสองบริษัท ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 2 และ 3 ของญี่ปุ่น มียอดขายรวมกัน 7.4 ล้านคันในปี 2023 อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่กำลังเผชิญกับความท้าทายในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านี้ในเดือนมีนาคม ฮอนด้าและนิสสันได้เพิ่มความร่วมมือ โดยตกลงที่จะทำงานร่วมกันในการพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า โดยนายมากโตะ อุชิดะ ซีอีโอของนิสสัน กล่าวยอมรับถึงสภาพการแข่งขันว่า
“ผู้เล่นหน้าใหม่มีความก้าวร้าวและกำลังแทรกซึมตลาดอย่างรวดเร็ว เราไม่สามารถเอาชนะการแข่งขันได้ หากยังคงยึดติดกับแนวคิดเดิม ๆ และแนวทางแบบดั้งเดิมต่อไป”
ตามรายงานของ Nikkei ทั้งสองบริษัทกำลังพิจารณาการดำเนินงานภายใต้บริษัทโฮลดิ้งเดียวกัน แต่รายละเอียดเกี่ยวกับโครงสร้างและสัดส่วนการถือหุ้นยังไม่ชัดเจน นอกจากนี้ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ซึ่งนิสสันถือหุ้นอยู่ 24% อาจเข้าร่วมในกลุ่มพันธมิตรนี้ด้วย
หากข้อตกลงสำเร็จลุล่วง การควบรวมกิจการครั้งนี้จะกลายเป็นดีลที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมยานยนต์ นับตั้งแต่การควบรวมกิจการมูลค่า 52 พันล้านดอลลาร์ระหว่าง Fiat Chrysler และ PSA Group ในปี 2021 ซึ่งก่อให้เกิด Stellantis ยักษ์ใหญ่ด้านยานยนต์ระดับโลก
การเจรจานี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ต่างเผชิญกับความต้องการที่ชะลอตัว กำไรที่ลดลง และการลงทุนมหาศาลที่จำเป็นในการเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป ไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า ล่าสุด Stellantis ประกาศปิดโรงงานในเมืองลูตัน สหราชอาณาจักร ส่งผลกระทบต่อการจ้างงานกว่า 1,100 ตำแหน่ง ขณะที่ Ford และ Volkswagen ก็ประกาศลดจำนวนพนักงานและปิดโรงงานหลายแห่งทั่วยุโรป
นิสสันยังไม่ยืนยันรายงานดังกล่าว โดยระบุว่า “เนื้อหาในรายงานนี้ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับการประกาศจากทางบริษัทใดบริษัทหนึ่ง อย่างที่ได้ประกาศไว้เมื่อเดือนมีนาคมปีนี้ ฮอนด้าและนิสสันกำลังสำรวจความเป็นไปได้ต่าง ๆ ในการร่วมมือกัน เพื่อใช้จุดแข็งของแต่ละฝ่าย หากมีการอัปเดตใด ๆ เราจะแจ้งให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทราบในเวลาที่เหมาะสม”
ขณะที่ทางฮอนด้ายังไม่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้.
การควบรวมกันทั้งสอง ซึ่งจะดึงเอา Mitsubishi เข้ามาด้วย Nissan Motor Co., Ltd. ถือหุ้นใหญ่ใน Mitsubishi Motors โดยถือหุ้นประมาณ 34% ซึ่งเกิดขึ้นในปี 2016 หลังจากที่ Mitsubishi Motors เผชิญปัญหาด้านความน่าเชื่อถือจากกรณีทดสอบการประหยัดน้ำมันที่ไม่ถูกต้อง แต่ ณ เดือนธันวาคม พ.ศ. 2567 (2024) บริษัท Nissan Motor Co., Ltd. ได้ลดสัดส่วนการถือหุ้นใน Mitsubishi Motors จากเดิม 34% เหลือประมาณ 24% การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ Mitsubishi Motors ตัดสินใจซื้อหุ้นของบริษัทคืนจาก Nissan จำนวน 149,028,300 หุ้น คิดเป็น 10.02% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
ณเดือนธันวาคม 2024 สถานการณ์การเงินของ Nissan Motor Co., Ltd. กำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างมาก โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้
ผลประกอบการและการปรับลดคาดการณ์รายได้
- ในช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2024 (เมษายน-กันยายน) กำไรสุทธิของ Nissan ลดลงถึง 94% เหลือเพียง 19,200 ล้านเยน (ประมาณ 4.3 พันล้านบาท)
- บริษัทได้ปรับลดคาดการณ์กำไรจากการดำเนินงานประจำปีลง 70% จากเดิมที่คาดว่าจะมีกำไร 500,000 ล้านเยน เหลือเพียง 150,000 ล้านเยน (ประมาณ 33,000 ล้านบาท)
มาตรการลดต้นทุนและปรับโครงสร้าง
- Nissan ประกาศปลดพนักงานทั่วโลกจำนวน 9,000 คน คิดเป็นประมาณ 6.7% ของพนักงานทั้งหมด 133,580 คน
- บริษัทมีแผนลดกำลังการผลิตทั่วโลกลง 20% เพื่อปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของตลาดที่ลดลง
- Makoto Uchida ซีอีโอของ Nissan ได้ลดเงินเดือนของตนเองลง 50% เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ความเสี่ยงด้านการเงิน
- มีรายงานว่า Nissan อาจเผชิญกับปัญหาสภาพคล่องทางการเงินอย่างรุนแรงภายใน 12-14 เดือนข้างหน้า หากไม่สามารถดึงดูดนักลงทุนรายใหม่เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัทได้
- Nissan ถูกจัดอันดับให้มีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้สูงเป็นอันดับ 4 ในญี่ปุ่น หลังจากกำไรลดลงอย่างมากและมีการปรับลดคาดการณ์ยอดขาย
ปัจจัยที่ส่งผลต่อสถานการณ์ปัจจุบัน
- ยอดขายในตลาดสำคัญอย่างจีนและสหรัฐอเมริกาลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
- การแข่งขันที่รุนแรงจากผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริด ที่ Nissan มีผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้น้อยกว่า
ณ เดือนธันวาคม 2024 สถานการณ์การเงินของ Honda Motor Co., Ltd. แสดงถึงความแข็งแกร่งและการเติบโตอย่างต่อเนื่องในตลาดโลก โดยมีข้อมูลสำคัญดังนี้
ผลประกอบการและการเติบโต
- ในช่วงสิบสองเดือนที่ผ่านมา (TTM) ณ ไตรมาสที่ 1 ปี 2025 ฮอนด้ามีรายได้รวม 131.84 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 19.8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า
- กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ 17.35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 20.19% ในช่วงเวลาเดียวกัน
- อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) ของฮอนด้าอยู่ที่ 6.52 ซึ่งบ่งชี้ว่าหุ้นของบริษัทอาจมีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริงเมื่อเทียบกับรายได้
การจัดอันดับและความเชื่อมั่นของนักลงทุน
- โกลด์แมน แซคส์ ได้เพิ่มหุ้นของฮอนด้าในรายชื่อ “APAC Conviction List” โดยมองเห็นศักยภาพในการเติบโตของบริษัท
การดำเนินงานในประเทศไทย
- บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ได้รายงานผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 โดยมียอดจำหน่ายสะสมระหว่างเดือนมกราคม – มิถุนายน 2563 จำนวนทั้งสิ้น 41,326 คัน คิดเป็น 29.2% ของตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลในประเทศไทย