Nissan Motor ระดมทุนกว่า 242,000 ล้านบาท เพื่อผ่านช่วงวิกฤติการเงิน
บริษัท นิสสันมอเตอร์ จำกัด ได้ยื่นต่อเจ้าหน้าที่การเงินญี่ปุ่นเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาผู้ผลิตรถยนต์กล่าวว่า บริษัทได้ระดมทุนรวม 832.6 พันล้านเยน (7.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) หรือประมาณ 242,000 ล้านบาท
- เป็นการระดมทุนหุ้นหรือหุ้นกู้ โดยมีกำหนดชำระคืนพร้อมผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ย
ผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 2 ของญี่ปุ่นกำลังดิ้นรนเพื่อฟื้นฟูผลกำไร จากการขาดทุนครั้งแรกในรอบ 11 ปี เนื่องจากยอดขายที่ลดลงภาพลักษณ์ที่หมองและสถานะเงินสดที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ก่อนไวรัส COVID-19 และเมื่อมีการแพร่ระบาดของไวรัส ยิ่งแย่ไปใหญ่
มาโคโตะ อูชิดะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นิสสัน ให้คำมั่นว่าจะลดลง 300,000 ล้านเยน (ประมาณ 86,700 ล้านบาท) จากค่าใช้จ่ายคงที่ในอีกสี่ปีข้างหน้าโดยลดกำลังการผลิตและรุ่นรถยนต์ประมาณหนึ่งในห้า
การเปิดตัวแผนการกู้คืนในปลายเดือนพฤษภาคม Uchida ถือได้ว่าเป็นความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดของนิสสัน คาดว่าจะมีกระแสเงินสดอิสระเป็นบวกในช่วงครึ่งหลังของปีงบประมาณปัจจุบันเทียบกับลบ 641 พันล้านเยน (ประมาณ 185,000 ล้านบาท) ในปี มีนาคม.
การปรับแผนครั้งนี้เราเรียกว่า Nissan Next วางแผน 4 ปีใหม่ พร้อมลดกำลังการผลิต 1 ใน 5 ต่อปีเพื่อลดต้นทุกถึง 2,800 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 89,000 ล้านบาท
ลดค่าใช้จ่าย ด้านการตลาดการวิจัย และ ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ผู้ผลิตรถยนต์จะทำโมเดลให้น้อยลง โดยลดจำนวนลงเหลือน้อยกว่า 55 จาก 69 เพื่อเอาชีวิตรอดในตลาดที่ได้รับผลกระทบ จากโรคโคโรนาไวรัส
มาโคโตะ อูชิดะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นิสสัน กล่าวว่า “แผนปฏิรูปของเรา มีวัตถุประสงค์ เพื่อทำให้เกิดการเติบโตอย่างมั่นคง แทนที่จะให้ความสำคัญ ต่อการเพิ่มยอดขายมากจนเกินไป โดยนิสสัน จะมุ่งเน้นเรื่องความสามารถหลัก ขององค์กร พร้อมยกระดับคุณภาพทางธุรกิจ และรักษาระเบียบวินัยทางการเงิน รวมถึงรายได้สุทธิต่อหน่วยเพื่อสร้างผลกำไรตามเป้าที่วางไว้ โดยทั้งหมดนี้จะมีการดำเนินงานควบคู่ไปกับการรื้อฟื้นวัฒนธรรม “ความเป็นนิสสัน” เพื่อเดินหน้าสู่ยุคใหม่ของนิสสันอย่างแท้จริง”
แผนระยะ 4 ปีของนิสสัน วางอยู่บนกลยุทธ์ 2 ด้าน ที่อยู่บนชื่อเสียงของนิสสันที่มีรากฐานมาจากการเป็นผู้ริเริ่มด้านนวัตกรรม ฝีมือการผลิต การให้ความสำคัญแก่ลูกค้า และคุณภาพ และยังรวมไปถึงการปฏิรูปด้านวัฒนธรรมองค์กร
กระบวนการทำให้เกิดประสิทธภาพ ลดดต้นทุน
- ปรับอัตราการผลิตของนิสสันลงร้อยละ 20 ให้เหลือเพียง 5.4 ล้านคันต่อปี ภายใต้การปฏิบัติงานตามช่วงเวลาการทำงานตามมาตรฐานปกติ
- เพิ่มอัตราการใช้กำลังการผลิตให้ได้มากกว่าร้อยละ 80 เพื่อเพิ่มผลกำไร
- ลดจำนวนรุ่นรถยนต์ทั่วโลกลงร้อยละ 20 (ให้เหลือเพียง 55 รุ่น จากเดิม 69 รุ่น)
- ลดต้นทุนแบบคงที่ลงประมาณ 3 แสนล้านเยน
- ยุติการดำเนินงานของโรงงาน ณ บาร์เซโลน่า ในภูมิภาคยุโรปตะวันตก
- ควบรวมการผลิตของรถยนต์รุ่นสำคัญต่าง ๆ ในอเมริกาเหนือ
- ยุติการดำเนินงานของโรงงานในประเทศอินโดนีเซีย และมุ่งให้ความสำคัญกับโรงงานในประเทศไทย ซึ่งเป็นฐานการผลิตแห่งเดียวในอาเซียน
- ร่วมมือบริษัทในกลุ่มพันธมิตรในการใช้ทรัพยากร เช่น การผลิต รุ่นรถยนต์ และเทคโนโลยีต่าง ๆ ร่วมกัน
การให้ความสำคัญกับตลาดหลักและรถยนต์รุ่นสำคัญ
- มุ่งเน้นธุรกิจของนิสสันในประเทศญี่ปุ่น จีน และทวีปอเมริกาเหนือ
- ใช้ประโยชน์จากความร่วมมือของกลุ่มพันธมิตร เพื่อรักษาฐานทางธุรกิจของนิสสัน ในอเมริกาใต้อาเซียน และยุโรป
- ยุติการการดำเนินงานในประเทศเกาหลีใต้ ยุติการดำเนินธุรกิจของดัทสันในรัสเซีย รวมถึงปรับแผนการดำเนินธุรกิจของบางประเทศในอาเซียน
- ให้ความสำคัญกับรถยนต์รุ่นหลักในกลุ่ม C และ D Segment รวมถึงรถยนต์พลังงานไฟฟ้า และรถสปอร์ต
- เดินหน้าเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ 12 รุ่น ในอีก 18 เดือนข้างหน้า
- เพิ่มจำนวนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าและรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า รวมถึง เทคโนโลยี อี-พาวเวอร์ โดยตั้งเป้าจำหน่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าและรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าจำนวน 1 ล้านคัน ภายในสิ้นปีงบประมาณ 2566
- ในประเทศญี่ปุ่น นิสสันจะเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 2 รุ่น และรถยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีอี-พาวเวอร์ จำนวน 4 รุ่น เพื่อเพิ่มสัดส่วนของยอดขายของรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ถึงร้อยละ 60 ของยอดขายทั้งหมด
- นำระบบขับเคลื่อนอัจฉริยะ ProPILOT มาใช้ในรถยนต์มากกว่า 20 รุ่นที่วางขายใน 20 ประเทศ โดยตั้งเป้าว่าจะมีรถยนต์จำนวนกว่า 1.5 ล้านคัน ที่ใช้ระบบ ProPILOT ภายในสิ้นปี พ.ศ. 2566
อูชิดะ กล่าวปิดท้ายว่า “นิสสันต้องส่งมอบคุณค่าของแบรนด์ให้แก่ลูกค้าทั่วโลก โดยเราต้องนำนวัตกรรม ทั้งด้านยานยนต์ เทคโนโลยี และเจาะตลาดที่เรามีศักยภาพในการแข่งขัน นี่คือ DNA ความเป็นนิสสัน และในยุคใหม่ ของเรา คนยังเป็นเรื่องสำคัญสูงสุดสำหรับนิสสัน เพื่อให้นิสสันส่งมอบเทคโนโลยีที่คิดค้นมาเพื่อทุกคน และเพื่อรับมือกับความท้าทาย ซึ่งมีแต่นิสสันเท่านั้นที่สามารถทำได้”
มาตรการดังกล่าว จะสามารถลดต้นทุนทุกรูปแบบสำหรับรถยนต์ที่พัฒนาร่วมกัน และทำให้ประหยัดงบประมาณได้ถึง 40%
ขอขอบคุณข้อมูล Nissan ประเทศไทย