Stellantis เน้นย้ำ ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า มากกว่าสันดาป ท่ามกลางปัญหาขาดแคลนชิป
Stellantis ให้ความสำหรับอย่างมากกับรถยนต์ไฟฟ้า EV มากกว่ารถยนต์สันดาป ICE ในยุโรปท่ามกลางการปัญหาการขาดแคลนชิป
การขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์หยุดชะงักในหลายๆแห่งทั่วโลก ส่งผลให้ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายประสบปัญหายอดขายที่ลดลง จากการขาดแคลนดังกล่าว และ ไม่สามารถผลิตได้ตลอด 24 ชั่วโมงเหมือนก่อน
Stellantis กลุ่มบริษัทข้ามชาติที่รวมแบรนด์อเมริกัน อิตาลี และฝรั่งเศสทั้งหมด 14 แบรนด์ มีปัญหาเซมิคอนดักเตอร์จำนวนจำกัด และทางกลุ่มจึงเลือกผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่าสันดาปในยุโรป
เหตุผลหลักในการตัดสินใจคือลูกค้าชาวยุโรป ตอบสนองต่อรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า เพราะด้วยนโยบายของรัฐบาลท้องถิ่น ช่วยส่งเสริมการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า เช่น เงินอุดหนุนจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรมองข้ามข้อเท็จจริงที่ว่ารถยนต์ EV มักจะมีราคาแพงกว่า ICE
Anne-Lise Richard หัวหน้าฝ่าย e-mobility ของบริษัทบอกกับ Automotive News ในการให้สัมภาษณ์ที่เมืองมิลาน
“เราจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับรถยนต์ไฟฟ้า EV เพราะลูกค้าจำนวนมากเต็มใจที่จะซื้อ EV ในตอนนี้”
Carlos Tavares ซีอีโอของ Stellantis ได้เผยแผนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัท ในทศวรรษหน้า พร้อมนำเสนอในรูปแบบออนไลน์ที่จัดขึ้นในงาน Stellantis: EV DAY 2021
สิ่งสำคัญที่สุด คือการเปิดตัว 4 แพลตฟอร์มไฟฟ้า ซึ่งสามารถครอบคลุม 14 แบรนด์รถยนต์ ภายใต้ Stellantis สามารถวิ่งได้สูงสุด 804 กม./ชาร์จ
แผนดังกล่าวครอบคลุมการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ รวมทั้งรถยนต์พลังงานไฮโดรเจนในปี 2564 แบตเตอรี่โซลิสสเตตในปี 2569
Stellantis จะลงทุนมากกว่า 30 พันล้านยูโร (ประมาณ 1.15 ล้านล้านบาท) ในการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าจนถึงปี 2568
โดยจะใช้เงินจำนวนมาก เพื่อสร้างพลังงานไฟฟ้า รวมทั้งซอฟต์แวร์ ลงทุนในการร่วมทุน และ อื่นๆ
4 แพลตฟอร์มแบตเตอรี่ไฟฟ้า ของ Stellantis เรียกว่า STLA Small, STLA Medium, STLA Large และ STLA Frame แพลตฟอร์มได้รับการออกแบบให้มีความยืดหยุ่นในแง่ของความยาว และ ความกว้าง รวมทั้งรองรับการติดตั้งขุมพลังที่หลากหลายทั้งไฮบริด ปลั๊กอินไฮบริด
- แพลตฟอร์ม STLA Small รองรับการวิ่ง 482 กม./ชาร์จ ออกแบบสำหรับรถยนต์ขนาดเล็ก
- แพลตฟอร์ม STLA Medium รองรับการวิ่ง 708 กม./ชาร์จ แทนที่แพลตฟอร์ม EMP2 ของ Stellantis ออกแบบสำหรับรถยนต์ขนาดกะทัดรัดและขนาดกลาง S
- แพลตฟอร์ม TLA Large รองรับการวิ่ง 804 กม./ชาร์จ ออกแบบสำหรับรถยนต์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ระดับพรีเมียม
- แพลตฟอร์มสุดท้ายอย่าง STLA Frame รองรับการวิ่ง 804 กม./ชาร์จ ออกแบบสำหรับรถยนต์กระบะ SUV ขนาดใหญ่ รถตู้เชิงพาณิชย์
และจะมีการเปิดตัวเทคโนโลยีโซลิดสเตตที่มีความหนาแน่นและมีเสถียรภาพมากขึ้น สำหรับแบตเตอรี่ไฟฟ้า ภายในปี 2569
Stellantis มีโรงงานแบตเตอรี่ของตัวเอง 5 แห่งกระจายอยู่ทั่วยุโรป และ อเมริกาเหนือ รวมถึงซัพพลายเออร์ภายนอก บริษัทคาดว่าต้นทุนของแบตเตอรี่จะลดลงมากกว่า 40% ภายในปี 2030 นอกจากนี้ยังคาดว่า EVs จะมีต้นทุนการเป็นเจ้าของโดยรวมที่ใกล้เคียงกันสำหรับรถยนต์สันดาปภายในภายในปี 2026
นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าอีกหลายแบรนด์เช่น Opel Manta-E และ Dodge Muscle car Dodge ภายในปี 2024