เตรียมเปิดตัว Weimar M7 วิ่ง 800 กม./ชาร์จ วันที่ 22 ตุลาคม 2021
18 ตุลาคม 2021 Weimar Motors ได้ปล่อยภาพทีเซอร์ใหม่อย่างเป็นทางการ โดยระบุว่านี้คือรถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่สุดหรู Weimar M7 พร้อมอัตราการวิ่ง 800 กม./ชาร์ต ภายใต้เงื่อนไขของ NEDC โดยจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 22 ตุลาคม 2021
Weimar M7 เป็นรุ่นแรกของ Weimar “Master Series” สไตล์การออกแบบภายนอกนั้นมาจากการออกแบบของรถแนวคิด Weimar Maven
รถยนต์ใหม่นี้อยู่ในตำแหน่งที่เป็นซีดานไฟฟ้าขนาดกลาง ระยะฐานล้อใกล้ 3 เมตร และค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านของรถใหม่อยู่ที่ 0.23Cd
Weimar ได้จัดการประชุมสื่อกลางปีในกรุงปักกิ่ง และประกาศมาตรการ ที่สำคัญในการพัฒนาของบริษัทช่วงครึ่งปี 2021 โดยวางแผนการปรับโลโก้ใหม่ รวมทั้งเทคโนโลยขับขี่อัตโนมัติระดับ L4
- WM Motor (Weltmeister) WM Motor Technology Co Ltd บริษัท ยานยนต์ในเซี่ยงไฮ้ที่เชี่ยวชาญด้านการสร้างรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV’s)
Shen Hui CEO ของ Weimar Motors เน้นย้ำถึงการเปิดตัวรถยนต์ SUV ไฟฟ้า Weimar W6 ที่เปิดตัวในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 รถคันนี้รวบรวมความมุ่งมั่นของ Weimar Motors ต่อแนวโน้มอุตสาหกรรมในอนาคต
พร้อมตอกย้ำความต้องการของผู้ขับขี่ รวมทั้งติดตั้งระบบจอดอัตโนมัติไร้คนขับ AVP บนสถาปัตยกรรมไฟฟ้า SOA ใหม่
ในแง่ของเทคโนโลยีใหม่ Weimar กล่าวว่ากำลังพัฒนาเทคโนโลยี OTA ด้วยการผสานรวมซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์อย่าง ครอบคลุม 18 โมดูลการทำงานจาก 7 ตัวควบคุมหลัก เพื่อให้ยานพาหนะสามารถประมวลผลได้อย่างสมบูรณ์ และ มีประสิทธิภาพสูง
ในแง่ของผลิตภัณฑ์ใหม่ Weimar ยังได้ประกาศ เตรียมจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกที่มีระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับ L4 ในชื่อ Weimar M7 พร้อมพลังประมวลผลพิเศษ 500-1000TOPS
และได้เผยภาพภายในห้องโดยสารที่มีการออกแบบทันสมัย และภายในปีนี้ Weimar ยังจะเปิดตัวรุ่น E5 ใหม่ ซึ่งน่าจะช่วงเกือบปลายปี
Autopilot มี 5 ระดับ ได้แก่
- ระดับ 1 จะมีระบบอัตโนมัติ ช่วยเหลือผู้ขับขี่ เช่น การบังคับเลี้ยวหรือการเร่งและรักษาคุมความเร็วคงที่ รวมทั้งระบบควบคุมความเร็วคงที่แบบปรับความเร็วอัตโนมัติ ซึ่งสามารถควบคุมยานพาหนะไว้ในระยะที่ปลอดภัยต่ออุบัตเหตุ ซึ่งคุณสมบัติ Level 1 ยังต้องการวิจารณญาณของมนุษย์คนขับ ตรวจสอบการใช้ฟังก์ชั่นช่วยขับขี่ร่วมด้วย
- ระดับ 2 จะมีระบบ ADAS หรือ Advanced Driver Assistance Systems ซึ่งเป็นระบบบังคับเลี้ยวอัตโนมัติคู่กับระบบความคุมอัตรเร่งและปรับความเร็วให้ทำงานประสานกันผ่านกลไกการควบคุมที่ซับซ้อน… ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ทุกค่ายล้วนใส่เงินไปกับการวิจัยระบบ ADAS ต่อเนื่องมานาน ซึ่งระบบ ADAS ที่มีชื่อเสียงและสอบผ่านมาตรฐาน Level 2 รุ่นแรกๆ จนได้ทดสอบ
- ระดับ 3 จะมีความสามารถในการตรวจจับสภาพแวดล้อม และสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดเช่น การเร่งแซงรถที่ช้า แต่ระบบก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากมนุษย์ แม้มนุษย์ไม่ต้องเหยียบคันเร่งถือพวงมาลัย… แต่ผู้ขับขี่จะต้องตื่นตัวและพร้อมที่จะเข้าควบคุมทันทีหากระบบผิดพลาด ซึ่งส่วนใหญ่ระบบจะออกแบบให้ตรวจสอบเงื่อนไขการทำงานอัตโนมัติตลอดเวลา และหาก Condition หรือเงื่อนไขการทำงานในระบบผิดพลาด… รถจะมีฟังก์ชั่นขอความช่วยเหลือจากมนุษย์ติดมาด้วย
- ระดับ 4 ไม่ต้องมีมนุษย์คอยช่วยเหลือในยามเข้าตาจนเหมือน Level 3 อีกเลย แม้จะมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นทั้งในระบบและสภาพแวดล้อมภายนอก หรือแม้แต่เกิดขัดข้องขึ้น พาหนะ Level 4 ก็จะจัดการความผิดปกติและบกพร่องทั้งหลายได้เอง โดยพึ่งพาและปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ในฐานะผู้โดยสาร มากกว่าจะพึ่งพามนุษย์ในฐานะผู้ควบคุมปกป้องความผิดพลาด พาหนะ Level 4 สามารถทำงานในโหมดขับขี่ด้วยตนเอง หรือ Self-Driving Mode ได้อย่างสมบูรณ์
- ระดับ 5 ไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆ จากมนุษย์อีก เพราะระบบจะทำงาน Dynamic Driving Task เต็มประสิทธิภาพ เทียบเท่าระดับเดียวกับหรือดีกว่ามนุษย์ที่มีทักษะการขับรถยอดเยี่ยมที่สุด… พาหนะ Level 5 จึงไม่มีแม้แต่พวงมาลัย แป้นเหยียบคันเร่งและแป้นเบรก ทำให้พาหนะ Level 5 เป็น Fully Autonomous Cars ซึ่งเป็นเป้าหมายความสำเร็จของการพัฒนายานพาหนะบนผิวพื้นยุคต่อไป… ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่า กฏหมายและโครงสร้างพื้นฐานของ Smart City
Autohome / Car.inotgo.com/