ปล่อยทีเซอร์ Xpeng G9 รุ่นเรือธง คู่แข่ง Tesla Model Y
Xpeng Motors ปัจจุบันมีรถยนต์จำหน่าย 3 รุ่น ได้แก่ Xpeng P7, P5 และ G3i
เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2021 ได้มีการจับภาพทดสอบวิ่งสำหรับ SUV ขนาดกลาง-ใหญ่ คาดว่าน่าจะเป็น G9 รุ่นเรือธงตัวใหม่
จากภาพดังกล่าว แม้ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดมาก แต่เราพอรู้ว่ามันคือรถที่ออกแบบมาในสไตล์ครอบครัวกลุ่มไฟหน้าแบบ LED ไม่ได้แตกต่างจากภาพทีเซอร์ก่อนหน้านี้
Xpeng Motors วางแผนที่จะเปิดตัวรถยนต์ Smart EV ใหม่ภายในปีหน้า โดยจะใหญ่กว่า และ ล้ำหน้ากว่า G3i SUV ที่พึ่งเปิดตัว คุณสมบัติจะเทียบเคียงคู่แข่ง Tesla Model Y ที่กำลังเปิดตัว
Xpeng SUV ใหม่ที่จะมาถึงในปี 2022 น่าจะเป็นขนาดกลาง แพลตฟอร์ม ‘David’ ของบริษัท
Xpeng Motors ยืนยันว่ากำลังพัฒนารถเอสยูวีรุ่นใหม่ จะมีฐานล้อ 2,800 ถึง 3,100 มม. ความยาวตัวถังประมาณ 5 เมตร
Xpeng SUV ใหม่ อาจมีระบบส่งกำลัง AWD แบบสองมอเตอร์ที่ให้กำลังอย่างน้อย 430 แรงม้า แรงบิด 655 นิวตันเมตร และสามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม ภายใน 5 วินาที ชุดแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 80 kWh สามารถวิ่งได้ 500 กม./ชาร์จ WLTP ม
Xpeng SUV ใหม่มีแนวโน้มที่จะใช้ XPILOT 4.0 และ LiDAR สำหรับระบบขับขี่อัตโนมัติขั้นสูง แชสซีอัจฉริยะ ระบบกันสะเทือนแบบถุงลม ความสามารถในการชาร์จอย่างรวดเร็ว และความสามารถ OTA ที่เพิ่มขึ้น
หากมันเปิดตัวจริงๆ จะมีราคาอยู่ระดับประมาณ 300,000 หยวน หรือประมาณ 1.53 ล้านบาท
Autopilot มี 5 ระดับ ได้แก่
- ระดับ 1 จะมีระบบอัตโนมัติ ช่วยเหลือผู้ขับขี่ เช่น การบังคับเลี้ยวหรือการเร่งและรักษาคุมความเร็วคงที่ รวมทั้งระบบควบคุมความเร็วคงที่แบบปรับความเร็วอัตโนมัติ ซึ่งสามารถควบคุมยานพาหนะไว้ในระยะที่ปลอดภัยต่ออุบัตเหตุ ซึ่งคุณสมบัติ Level 1 ยังต้องการวิจารณญาณของมนุษย์คนขับ ตรวจสอบการใช้ฟังก์ชั่นช่วยขับขี่ร่วมด้วย
- ระดับ 2 จะมีระบบ ADAS หรือ Advanced Driver Assistance Systems ซึ่งเป็นระบบบังคับเลี้ยวอัตโนมัติคู่กับระบบความคุมอัตรเร่งและปรับความเร็วให้ทำงานประสานกันผ่านกลไกการควบคุมที่ซับซ้อน… ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ทุกค่ายล้วนใส่เงินไปกับการวิจัยระบบ ADAS ต่อเนื่องมานาน ซึ่งระบบ ADAS ที่มีชื่อเสียงและสอบผ่านมาตรฐาน Level 2 รุ่นแรกๆ จนได้ทดสอบ
- ระดับ 3 จะมีความสามารถในการตรวจจับสภาพแวดล้อม และสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดเช่น การเร่งแซงรถที่ช้า แต่ระบบก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากมนุษย์ แม้มนุษย์ไม่ต้องเหยียบคันเร่งถือพวงมาลัย… แต่ผู้ขับขี่จะต้องตื่นตัวและพร้อมที่จะเข้าควบคุมทันทีหากระบบผิดพลาด ซึ่งส่วนใหญ่ระบบจะออกแบบให้ตรวจสอบเงื่อนไขการทำงานอัตโนมัติตลอดเวลา และหาก Condition หรือเงื่อนไขการทำงานในระบบผิดพลาด… รถจะมีฟังก์ชั่นขอความช่วยเหลือจากมนุษย์ติดมาด้วย
- ระดับ 4 ไม่ต้องมีมนุษย์คอยช่วยเหลือในยามเข้าตาจนเหมือน Level 3 อีกเลย แม้จะมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นทั้งในระบบและสภาพแวดล้อมภายนอก หรือแม้แต่เกิดขัดข้องขึ้น พาหนะ Level 4 ก็จะจัดการความผิดปกติและบกพร่องทั้งหลายได้เอง โดยพึ่งพาและปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ในฐานะผู้โดยสาร มากกว่าจะพึ่งพามนุษย์ในฐานะผู้ควบคุมปกป้องความผิดพลาด พาหนะ Level 4 สามารถทำงานในโหมดขับขี่ด้วยตนเอง หรือ Self-Driving Mode ได้อย่างสมบูรณ์
- ระดับ 5 ไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆ จากมนุษย์อีก เพราะระบบจะทำงาน Dynamic Driving Task เต็มประสิทธิภาพ เทียบเท่าระดับเดียวกับหรือดีกว่ามนุษย์ที่มีทักษะการขับรถยอดเยี่ยมที่สุด… พาหนะ Level 5 จึงไม่มีแม้แต่พวงมาลัย แป้นเหยียบคันเร่งและแป้นเบรก ทำให้พาหนะ Level 5 เป็น Fully Autonomous Cars ซึ่งเป็นเป้าหมายความสำเร็จของการพัฒนายานพาหนะบนผิวพื้นยุคต่อไป… ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่า กฏหมายและโครงสร้างพื้นฐานของ Smart City