XPeng P5 EV เปิดราคาเริ่ม 810,000 บาทในจีน
XPeng P5 ประกาศราคาออกมาอย่างเป็นทางการ ในประเทศจีน เริ่ม 157,900 – 223,900 หยวน หรือประมาณ 810,000 – 1,149,000 บาท มีทั้งหมด 6 เกรดให้เลือก 460G, 460E, 550G, 550E, 550P, และ 600P
P5 460G รุ่นเริ่มต้น มาพร้อมแบตเตอรี่ลิเธียมไออน 55.9kWh สามารถวิ่งได้ 460 กม./ชาร์จ NEDC
ในรุ่น 460E แบตเตอรี่เหมือน 460G แต่มาพร้อมระบบขับเคลื่อนกึ่งอัตโนมัติ X-Pilot 3.0
ในเกรด 550G แบตเตอรี่ใหญ่กว่า 66.2 kWhสามารถวิ่งได้ 550 กม.
550E แบตเตอรี่เดียวกัน แต่มาพร้อม ระบบขับเคลื่อนกึ่งอัตโนมัติ X-Pilot 3.0
รุ่น 550P ที่มาพร้อมกับชุดแบตเตอรี่ขนาด 66.2 kWh ที่เหมือนกัน ระบบขับเคลื่อนกึ่งอัตโนมัติ X-Pilot 3.0 เพิ่ม LiDAR สองชุด
600P แบตเตอรี่ขนาด 71.4 kWh สามารถวิ่งได้ 600 กม./ชาร์จ
XPeng P5 เป็นรถยนต์ไฟฟ้าขนาดกะทัดรัดที่มีจุดเด่นที่สุดคือมีการติดตั้ง Lidar เทคโนโลการขับขี่แบบช่วยเหลืออัตโนมัติ สามารถตอบโต้อย่างชาญฉลาด ซึ่งอยู่ในระดับ Xpilot 3.5 (P7 อยู่ระดับ XPILOT 3.0)
- LiDAR ย่อมาจาก Light Detection And Raging อุปกรณ์ที่ใช้แสงตรวจจับ และ คาดคะเนระยะทางของวัตถุ ซึ่งถูกนำไปใช้โดยรถยนต์ไร้คนขับ และหุ่นยนต์เพื่อตรวจจับวัตถุในโลกจริงเพื่อสร้างโลกเสมือน 3 มิติ ลักการจะคล้ายโซน่าร์ที่ใช้หาปลาแต่เคสนั้นคือการใช้คลื่นเสียงไม่ใช่ใช้ลำแสง
ระบบช่วยเหลือการขับขี่อัตโนมัติ XPILOT 3.5 สามารถครอบคลุมถนนในเมือง (Urban NGP) รวมถึงสภาพถนนที่ซับซ้อนมากขึ้น สัญญาณไฟจราจร คนเดินถนน และอื่นๆ
มีรายงานว่า Xiaopeng P5 มีความยาว 4808 มม. ระยะฐานล้อ 2768 มม. และค่าสัมประสิทธิ์อากาศที่ 0.223Cd
การออกแบบตามรอยรุ่นพี่อย่าง P7 ส่วนหน้าโค้งมนพร้อมแถบไฟแบบ LED เรียวยาว ลากเชื่อมอย่างงดงาม ไฟท้ายแบบ LED ลากเชื่อมเช่นกัน พร้อมกันชนหลังสีดำ สปอยเลอร์หลังในตัว
ด้านหลังมีส่วนท้ายที่คุ้นเคยพร้อมกันชนสีดำและไฟท้ายแบบบางที่เชื่อมต่อกันด้วยแถบไฟส่องสว่าง รุ่นนี้ดูเหมือนจะมีท้ายรถที่มีสปอยเลอร์หลังในตัว
ขนาดตัวถัง ยาว 4808 มม. และมีฐานล้อ 2768 มม. ซึ่งหมายความว่ารถยาวกว่า Tesla Model 114 มม. แต่มีฐานล้อสั้นกว่า 106 มม.
ห้องโดยสารเราจะเห็นแผงหน้าปัดแบบดิจิทัลและระบบสาระบันเทิงขนาด 15.6 นิ้วพร้อมแนวตั้ง พร้อมติดตั้งระบบอัจฉริยะ Xmart OS 3.0 เบาะหนัง Nappa ดีไซน์ใหม่สีดำเงา และ สีเมทัลลิก
XPeng P5 หากดูจากชื่อตำแหน่งจะอยู่ต่ำกว่า P7 ตอนนี้เรายังไม่มีข้อมูลด้านขุมกำลัง ซึ่งคาดว่าจะอยู่ระดับ 430 แรงม้า (PS) ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่ 7.5 วินาที
Autopilot มี 5 ระดับ ได้แก่
- ระดับ 1 จะมีระบบอัตโนมัติ ช่วยเหลือผู้ขับขี่ เช่น การบังคับเลี้ยวหรือการเร่งและรักษาคุมความเร็วคงที่ รวมทั้งระบบควบคุมความเร็วคงที่แบบปรับความเร็วอัตโนมัติ ซึ่งสามารถควบคุมยานพาหนะไว้ในระยะที่ปลอดภัยต่ออุบัตเหตุ ซึ่งคุณสมบัติ Level 1 ยังต้องการวิจารณญาณของมนุษย์คนขับ ตรวจสอบการใช้ฟังก์ชั่นช่วยขับขี่ร่วมด้วย
- ระดับ 2 จะมีระบบ ADAS หรือ Advanced Driver Assistance Systems ซึ่งเป็นระบบบังคับเลี้ยวอัตโนมัติคู่กับระบบความคุมอัตรเร่งและปรับความเร็วให้ทำงานประสานกันผ่านกลไกการควบคุมที่ซับซ้อน… ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ทุกค่ายล้วนใส่เงินไปกับการวิจัยระบบ ADAS ต่อเนื่องมานาน ซึ่งระบบ ADAS ที่มีชื่อเสียงและสอบผ่านมาตรฐาน Level 2 รุ่นแรกๆ จนได้ทดสอบ
- ระดับ 3 จะมีความสามารถในการตรวจจับสภาพแวดล้อม และสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดเช่น การเร่งแซงรถที่ช้า แต่ระบบก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากมนุษย์ แม้มนุษย์ไม่ต้องเหยียบคันเร่งถือพวงมาลัย… แต่ผู้ขับขี่จะต้องตื่นตัวและพร้อมที่จะเข้าควบคุมทันทีหากระบบผิดพลาด ซึ่งส่วนใหญ่ระบบจะออกแบบให้ตรวจสอบเงื่อนไขการทำงานอัตโนมัติตลอดเวลา และหาก Condition หรือเงื่อนไขการทำงานในระบบผิดพลาด… รถจะมีฟังก์ชั่นขอความช่วยเหลือจากมนุษย์ติดมาด้วย
- ระดับ 4 ไม่ต้องมีมนุษย์คอยช่วยเหลือในยามเข้าตาจนเหมือน Level 3 อีกเลย แม้จะมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นทั้งในระบบและสภาพแวดล้อมภายนอก หรือแม้แต่เกิดขัดข้องขึ้น พาหนะ Level 4 ก็จะจัดการความผิดปกติและบกพร่องทั้งหลายได้เอง โดยพึ่งพาและปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ในฐานะผู้โดยสาร มากกว่าจะพึ่งพามนุษย์ในฐานะผู้ควบคุมปกป้องความผิดพลาด พาหนะ Level 4 สามารถทำงานในโหมดขับขี่ด้วยตนเอง หรือ Self-Driving Mode ได้อย่างสมบูรณ์
- ระดับ 5 ไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆ จากมนุษย์อีก เพราะระบบจะทำงาน Dynamic Driving Task เต็มประสิทธิภาพ เทียบเท่าระดับเดียวกับหรือดีกว่ามนุษย์ที่มีทักษะการขับรถยอดเยี่ยมที่สุด… พาหนะ Level 5 จึงไม่มีแม้แต่พวงมาลัย แป้นเหยียบคันเร่งและแป้นเบรก ทำให้พาหนะ Level 5 เป็น Fully Autonomous Cars ซึ่งเป็นเป้าหมายความสำเร็จของการพัฒนายานพาหนะบนผิวพื้นยุคต่อไป… ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่า กฏหมายและโครงสร้างพื้นฐานของ Smart City